วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2550

แผนที่หัวหิน ตัดจากข่าวมติชน


ความอยากไปกินอาหารอิตาเลียน :P

Delizie หัวหิน รสจัดจ้านทุกคำที่กลืนคอลัมน์ ตามรอยพ่อไปชิมโดย ปิ่นโตเถาเล็ก
ชีวิตและบทบาทหนึ่งของปิ่นโตเถาเล็กคือการตระเวนทบทวนที่กินตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แหม มันช่างสุขล้นเหลือเสียจริง ยามใดที่ได้ชิมอาหารตามร้านอร่อย (และไม่อร่อยด้วย) หลายๆ เจ้า จนสามารถนำมาปะติดปะต่อกลายเป็น *แผนที่กินเที่ยว* ได้สำเร็จยิ่งมีสหายรุ่นเก๋าดึกดำบรรพ์ดังเช่นพี่อ้วน เจ้าเก่าร่วมทีมไปด้วย ยิ่งสนุกครื้นเครงเข้าไปใหญ่ รายนี้หนักกว่าผมเสียอีก บางวันพี่ท่านเล่นชิมเป็นประวัติการณ์ถึง 15 ร้านก็มี จุดหมายของทริปนี้คือ *หัวหิน* เป็นถิ่นมีหอย ผมกับพี่อ้วนเริ่มล้อหมุนตอนสายๆจากกรุงเทพฯแวะกินระหว่างทางที่เมืองเพชรบุรีจนกระทั่งถึงหัวหินเป็นเวลา 2 วัน สรุปยอดได้ร้านใหม่ (สำหรับผม อาจจะเก่าสำหรับท่าน) มากำนัลแฟนๆ อีก 3-4 เจ้า อาทิตย์นี้ขอแนะนำช้างเผือกในป่าหัวหินที่ผมเพิ่งค้นพบสดๆ ร้อนๆร้านนี้เป็นร้านอิตาเลียนชื่อ *เดลิซี่ (Delizie)* เจ้าของคือคุณโดเมนิโก ซานจอร์จิโอ้ (Domenico Sangiorgio) คนอิตาเลียนแท้ๆ จากจังหวัด Torino ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี นำเข้าชีส ซาลามี ไส้กรอก เครื่องปรุงต่างๆ ส่งขายตามโรงแรมร้านอาหารในหัวหินนับได้ 7 ปี ก่อนหน้านี้อยู่ที่สมุยอีกหลายฤดูกาล จนได้ภรรยาเป็นคนไทย ทำไปทำมาเลยเปิดร้านอาหารเสียด้วยเลยที่หัวหินใกล้ตลาดโต้รุ่ง ไม่น่าเชื่อว่าขายอาหารมาได้ 4 ปีแล้ว ทำไมข้าพเจ้าไม่เคยเห็นนะ
ผู้ค้นพบคือพี่จิ๋ม สมาชิกเก่าก๊วนหน้าพระลานของคุณชายถนัดศรี (แต่อายุอ่อนกว่าพ่อหลายสิบปี) พี่จิ๋มหันมาเอาดีที่หัวหิน เปิดร้านชาตา (Shata) ขายผ้าบาติคลายเก๋ๆ เท่ทันสมัย คุณพี่ทำหน้าที่เป็นไก๊ด์พาคุณชายถนัดศรีไปชิมที่ร้านเดลิซี่เมื่อปีก่อน โอ้ย พ่อเอามาคุยทับกับข้าพเจ้าตั้งหลายครั้งหลายครา "ไอ้หนู เอ็งต้องไปกินให้ได้นะ ร้านนี้อร่อยอย่างอิตาเลียนแท้ๆ แถมยังถูกอิ๊บอ๋ายด้วย" จบด้วยสร้อยต่อท้ายแสดงว่าต้องไม่ธรรมดา ลูกได้มาชิมแล้วจ้ะ สมคำร่ำลือจริงๆทางไปร้านนี้ง่ายมากเพราะอยู่ริมถนนสระสรงที่อยู่ด้านหลังตลาดโต้รุ่ง (เส้นที่ผ่ากลางตลาดไม่ใช่เส้นเลียบทางรถไฟ) ควรตั้งต้นที่ถนนเพชรเกษมวิ่งผ่านตลาดฉัตรไชยและโต้รุ่งที่อยู่ด้านขวาจนมาถึงสี่แยกไฟแดง แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนดำเนินเกษมมุ่งไปทางสถานีรถไฟ จากนั้นอีกนิดเดียวให้เลี้ยวขวาแยกแรกเข้าถนนสระสรง ร้านเดลิซี่อยู่ในตึกแถวคูหาเดียวริมถนนทางซ้ายก่อนถึงที่จอดรถทัวร์ใกล้โต้รุ่ง ร้านเดลิซี่เป็นร้านเล็กๆ จุได้เพียง 6-7 โต๊ะ มีความถนัดและชำนาญเรื่องพาสต้าเส้นๆ แต่อุตส่าห์มาไกลทั้งที ควรหาอะไรมากระตุ้นน้ำย่อยก่อน โดยเริ่มจาก *ของกินเล่นสารพัดชนิดที่ชื่อว่า แอนติพาสโต้ เดลลา คาซ่า(Antipasto Della Casa)* สนนราคาย่อมเยาเพียง 420 บาท ประกอบด้วยซาลามีชนิดต่างๆ และปาร์ม่าแฮม ผักย่างอย่างแตงซุคคินีและมะเขือม่วง (Eggplant) ราดด้วยน้ำมันมะกอก รวมทั้งพริกหวาน (Peperoni) ย่างแกล้มด้วยกระเทียมสด พริกหวานยัดไส้ชีส หอมดอง
และที่อร่อยเหลือหลายคือรวมมิตรชีสอิตาเลียนอีก 3 ชนิด มีโพรโวโลเน่ (Provolone) ที่หั่นเป็นชิ้นรูปพัด หอมอย่างนุ่มนวล เนื้อชีสแข็งปานกลาง และตาเล็กจิโอ (Taleggio) ที่มีขอบสีส้มๆ กับฟอนติน่า (Fontina) ที่นุ่มและอร่อยที่สุด เนยแข็งพวกนี้ถูกปากคนไทย เพราะกลิ่นรสไม่แรง และเนื้อไม่แข็งจนเกินไป ยังมีชีสอิตาเลียนวางโชว์ในตู้แช่อีกหลายอย่าง อยากชิมชีสชนิดไหน เชิญสนุกกับการลิ้มลองได้เลยแค่สวาปามแอนติพาสโต้ก็กินเนื้อที่ในกระเพาะไปเกินครึ่งแล้ว ถึงอย่างไรก็ห้ามพลาดอาหารจานพาสต้า สอบถามน้องผึ้ง สาวสุโขทัยผู้คอยตอบคำถามลูกค้านักชิมชาวไทย เธอบอกว่าคนไทยขาดพริกไม่ได้จึงนิยมสั่ง *สปาเกตตี้ซีฟู้ดใส่พริก* เมนูอื่นๆ มีครบทั้งลาซานญ่า คานเนลโลนี่ (Cannelloni) เฟตตูชินี่หรือพาสต้าเส้นแบนใหญ่ทำจากไข่และแป้ง ราดได้ทั้งซอสเนื้อ (โบโลเนส) ซอสมะเขือเทศ หรือซอสเพสโต้สีเขียวทำจากโหระพา แต่พี่จิ๋มสั่งไว้เลยว่าต้องชิม *สปาเกตตี้ 4 ชีส* (150 บาท) ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าซอสที่ผัดกับพาสต้าทำจากชีสถึง 4 ชนิด รสชาติเข้มข้นถึงใจแต่กลิ่นไม่แรง เส้นสุกกำลังดีไม่เละ อร่อยจนยกนิ้วให้ ส่วนพี่อ้วนลอง *ราวิโอลี่ไส้ผักโขมและชีส Ricotta*(170 บาท) ราดด้วยซอสมะเขือเทศรสจัด แป้งหนึบอร่อย ส่วนไส้นั้นหอมมันเข้มข้นเช่นเดียวกัน เสียดายที่อิ่มซะแล้ว มิฉะนั้นคุณโดเมนิโก้จะเข้าครัวทำ *ข้าวตุ๋นอิตาเลียนหรือริซ็อตโต้ (Risotto) ทะเล* ให้ชิมเป็นบุญปากไม่เป็นไร ฝากไว้ก่อน รับรองผมจะมาผูกปิ่นโตที่นี่เมื่อใดก็ตามที่มาหัวหินเป็นแน่ แล้วแฟนๆ ละครับ ถ้ามาหัวหินต้องมาชิมอาหารอิตาเลียนรสจัดจ้านทุกคำกลืนที่เดลิซี่ จึงจะครบสูตรนะจ๊ะข้อมูลร้านDelizie(เดลิซี่)โดย คุณโดเมนิโก้ ซานจอร์จิโอ้(Domenico Sangiorgio)ที่ตั้ง 1/13 ถ.สระสรง ต.หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 77110โทร. 0-3253-0192เปิดบริการ 09.30-21.00 จันทร์-เสาร์ และ 10.00-14.00 อาทิตย์หยุด อาทิตย์เย็นอาหารแนะนำ แอนติพาสโต้ เดลลา คาซ่า(Antipasto Della Casa) สปาเกตตี้ 4 ชีส ราวิโอลี่ไส้ผักโขม และชีส Ricottaหน้า 19

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ภาพถ่ายที่ร้านระเบียงน้ำ


มีใครกันบ้างเอ่ย วันนั้น ดูเอานะครับ

mmsทดสอบส่งขึ้นblog

Brought to you by DTAC.

วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2550

พบปะเพื่อน ศกว ที่ร้านระเบียบงน้ำ ศรีสะเกษ

วันที่ 24 ธันวาคม 2550 หลังวันเลือกตั้ง สส. พลพรรคพวกชาวศรีสะเกษวิทยาลัยรุ่นที่เขาเรียกตัวเองว่าเขาใหญ่ ได้รวมตัวและพบพูดคุยกันที่ร้านระเบียงน้ำ ทางออกไปกันทรลักษ์ ศรีสะเกษ จำนวนประมาณ 20 คน ได้คุยถึงกิจกรรมที่เราควรจะรวมตัวกัน เช่น จัดนัดสังสรร แรลลี่ครอบครัว พบปะนอกสถานที่ รวมทั้งงานคืนสู่เหย้า ศกว. ซึ่งจะมีในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2551 อย่าลืมไปกันให้มากๆเพื่อความอบอุ่นในรุ่น...(ตึ่ง แชลลี้ นิด หนุ่ย อ๊อด โอ๊ต ตุ๋ย หน่อย แก้ว โอเดี้ยน อุดมหัวล้าน ปึ๊ด รุ่งทิพย์ และอีกหลายๆคน เดี๋ยวจะโพสต์รูปให้ดู)

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ห้องอาหารที่บ้าน

Brought to you by DTAC.

Multimedia message

รูปลูกสาว(น้องใหม่)

testทดสอบblog

test ทดสอบ language

testทดสอบblog

test ทดสอบ language

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2550

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2550

มติชน เลือกตั้ง เทศบาลเมือง ๑

วันที่ 06 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 106792ตัวเก็งชิงนายกเมืองอำนาจเจริญ "ศักดิ์ชัย"ฉุนป้ายโจมตีผลงาน12ปีในการรับสมัครนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) เมืองอำนาจเจริญ วันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา มีผู้สมัครนายกเทศมนตรี 2 คน คือ หมายเลข 1 นายวิชัย บุญเสริฐ อดีตรองนายกเทศมนตรี หัวหน้ากลุ่มอิสระอำนาจเจริญ และหมายเลข 2 นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูล อดีตนายกเทศมนตรี หัวหน้ากลุ่มรักอำนาจเจริญ จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 8 กรกฎาคม นายศักดิ์ชัยกล่าวว่า มีผู้ขึ้นป้ายขนาดใหญ่ 4 มุมเมือง เขียนข้อความว่า "ชาวเทศบาลเมืองอำนาจเจริญโง่มาแล้ว 12 ปี ถึงเวลาต้องเปลี่ยนนายกเทศมนตรี 8 ก.ค. 2550 โปรดเลือกให้ดีๆ อย่าโง่ซ้ำอีก" ซึ่งโจมตีการทำงานของตน และดูถูกคนอำนาจเจริญ จึงมอบหมายทนายความรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด นายสมภพ สงข์สุวรรณ ปลัดเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำเทศบาล กล่าวว่า ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและหาพยานหลักฐานเอาผิดกับผู้ขึ้นป้ายแล้ว คาดว่าจะได้ตัวการใหญ่เร็วๆ นี้ รวมทั้งสอบถามผู้สมัครแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดยอมรับ "หากผมนำป้ายลงเกรงจะเป็นการทำลายทรัพย์สินของคนอื่น จึงต้องศึกษากฎหมายให้ละเอียดก่อน หลังสืบหาตัวการได้ จะรีบนำป้ายลงโดยเร็ว" (กรอบบ่าย) หน้า 8<

มติชน เลือกตั้ง เทศบาลเมือง ๒

วันที่ 07 มิถุนายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10680อดีตส.จ.อำนาจฯจี้ปลดป้ายอัปมงคลนายโสณิ สุวรรณี อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) อำนาจเจริญ เขต 3 กล่าวว่า กรณีมีการติดป้ายเขียนข้อความ "ชาวเทศบาลเมืองอำนาจเจริญโง่มาแล้ว 12 ปี ถึงเวลาแล้วต้องเปลี่ยนนายกเทศมนตรี 8 ก.ค. 2550 โปรดเลือกให้ดีๆ อย่าโง่ซ้ำอีก" นั้น ตนพร้อมสภากาแฟจังหวัดอำนาจเจริญ และชมรมวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จะแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ติดตั้งป้าย เนื่องจากเป็นป้ายที่ไม่สร้างสรรค์ ดูถูกชาวอำนาจเจริญ และสร้างความเสื่อมเสียให้จังหวัด"การเลือกตั้งเทศบาลเมืองอำนาจเจริญมีการแข่งขันรุนแรง มีกระแสข่าวนายทุนขึ้นป้ายให้ มีเม็ดเงินสะพัดกว่า 50-60 ล้านบาท มีการแจกเงินซื้อเสียงหัวละ 300-500 บาท แกนนำชุมชนได้รับคนละ 2,000-3,000 บาท จึงเกรงจะกระทบต่อการพัฒนาบ้านเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัด และ กกต.ประจำเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ควรหามาตรการนำป้ายอัปมงคลลงและจับคนซื้อเสียงให้ได้ บ้านเมืองจะได้พัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง"นายสมภพ สงข์สุวรรณ ปลัดเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำเทศบาล กล่าวว่า การเลือกตั้งมีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรง เพราะผู้สมัครต่างมั่นใจว่าจะชนะการแข่งขัน จึงปฏิบัติหน้าที่โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และไม่ละเว้นผู้กระทำผิด ขอเตือนผู้สมัครให้หาเสียงในกรอบกฎหมาย มิฉะนั้นอาจได้ใบเหลืองใบแดงก่อนเลือกตั้ง(กรอบบ่าย) หน้า 8<

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ประโยชน์ที่พึงได้จากการเขียนพระพุทธศาสนาในรัฐธรรมนูญ

วันที่ 06 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10648ประโยชน์ที่พึงได้จากการเขียนพระพุทธศาสนาในรัฐธรรมนูญคอลัมน์ รื่นร่มรมเยศโดย เสฐียรพงษ์ วรรณปกต้องกราบขออภัยท่านผู้อ่าน ผมเสมือน "คนพูดติดอ่าง" พูดเรื่องเดียวกันซ้ำซาก ขนาดเขียนลงในหนังสือพิมพ์ที่คุยว่ามียอดขายระดับต้นๆ ยังไม่ค่อยมีคนอ่านสักเท่าไหร่ ประเด็นที่ยกขึ้นมาชี้แจง ก็ยังได้เห็นได้ยินคนส่วนใหญ่ถามอยู่นั้นเองคำถามที่ฮิตที่สุดก็คือ "ใส่แล้วไม่กลัวจะเกิดการแตกแยกเกี่ยวกับพระศาสนาหรือ เพราะศาสนาในเมืองไทยมิใช่มีแต่พุทธศาสนา ทำไมต้องพุทธอย่างเดียว"อีกคำถามหนึ่ง ก็คือ "พระสงฆ์ที่ออกมาร้องเรียนนั้น ทำไมไม่ไปจัดการพระที่ประพฤติผิด นอกรีตนอกรอยเสียก่อน มายุ่งเรื่องรัฐธรรมนูญทำไม ไม่ใช่กิจของสงฆ์"อีกคำถามหนึ่ง "เอาศาสนาไปยุ่งกับการเมืองทำไม ต่างฝ่ายต่างอยู่ก็ดีแล้ว รัฐธรรมนูญประเทศไหนๆ (ที่เขาเป็นประชาธิปไตย) ก็ไม่เอาศาสนามายุ่งกับการเมือง"อะไรประมาณนี้คำถามเหล่านี้ก็ยังคงถามกันต่อไป และคงตอบกันต่อไป คนถามไม่ควรมี "ธง" ในใจอยู่แล้วถาม ไม่ว่าใครจะตอบ หรืออธิบายอย่างไรๆ ถ้าไม่ตรงกับความคิดความเชื่อของตนก็ไม่รับฟัง คนตอบเองก็ไม่ควรคิดว่าคำตอบ หรือเหตุผลของตนนั้นถูกต้อง และก็ไม่ควรคาดหวังว่าเขาจะเชื่อตามที่ตนตอบก็รวมถึงข้อคิดเห็นของผมทางหน้าหนังสือพิมพ์นี้ด้วยแหละ ไม่จำต้องเชื่อพุทธวจนะใน "เกสปุตติยสูตร" หรืออีกชื่อหนึ่ง "กาลามสูตร" เป็นหลักตัดสินว่า ก่อนจะเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ จะพึงทำอย่างไรดี ดังที่พระเดชพระคุณเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ติงไว้นั้นแหละ เรื่องสำคัญอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องจะต้องพึ่งพา "ความรู้สึก" ไม่ใช่เรื่องที่จะเชื่อตามความรู้สึก ของคนที่มีสถานะทางสังคมสูง มี authority สูง หากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ "ความรู้" ความเข้าใจมาตัดสินกันท่านติงว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่เอาความรู้สึกมาวัดกัน แม้แต่เรื่องสำคัญๆ เช่น พระพุทธศาสนาควรเขียนว่าเป็นศาสนาประจำชาติไทยหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ต้องอาศัยความรู้ ความรู้ประวัติศาสตร์ ของชาติ ของศาสนา รู้บทบาทของพระพุทธศาสนากับสังคมไทย รู้บทบาทและหน้าที่ของพระสงฆ์ต่อสังคมไทย และที่สำคัญรู้ภารกิจ หรือหน้าที่ที่รัฐจะพึงดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างใดสรุปให้ชัดก็คือ ไม่พึงใช้ความรู้สึก ควรใช้ความรู้ความเข้าใจตัดสินผมพูดค้างไว้ในสัปดาห์ที่แล้วว่า จะจาระไนผลดีของการเขียนพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญต่อ (ไม่ใช่เขียนเพียงในคำปรารภว่า ศุภมัสดุ พระพุทธ ศาสนายุกาล..ฮิฮิ)ทีแรกว่าจะแจงเป็นข้อๆ ดังที่ทำมาในฉบับที่แล้ว เปลี่ยนใจมาพูดในแง่อธิบายตามวิธีการเขียนบทความแทนก็แล้วกัน เมื่ออ้างวาทะอัน "กินใจ" ของหลวงพ่อประยุทธ์ ปยุตฺโต แล้วก็ขออ้างต่อไปในกรณีศาสนาประจำชาติ จำต้องทำความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาคือ(1) หลักการของแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน(2) ประเพณีความสัมพันธ์ไม่เหมือนกันขอยกตัวอย่างความสัมพันธ์ในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นรูปธรรมและชัดเจนกรณีศาสนาคริสต์ ทำไมฝรั่งต้องแยกศาสนาออกจากรัฐ เขามีความหลังอันยาวไกล ตั้งแต่ยุโรปสมัยกลาง อำนาจทั้งหมดอยู่ภายใต้ศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งมีสันตะปาปาเป็นประมุข เมื่ออำนาจมีมากการคอร์รัปชั่นก็ตามมา นี่คือความเป็นจริงในทุกสังคม ความเสื่อมเกิดขึ้นในศาสนจักร เสื่อมถึงขนาดมีการขายใบไถ่บาปกันขึ้น จึงเกิดบาทหลวงเยอรมัน (มาร์ติน ลูเธอร์) คัดค้านไม่เห็นด้วย เมื่อมีคนนำคัดค้านอำนาจอันสิทธิขาดนี้ รัฐต่างๆ ที่เคยยินยอมก็หันมาสนับสนุนลูเธอร์ เพราะตนเองก็ต้องการความเป็นอิสระจากโป๊ป กระบวนการคัดค้านนี้จึงได้ชื่อว่า "Protestant"ในช่วงเวลาดังกล่าว ที่ประเทศอังกฤษ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งไม่เห็นด้วยกับศาสนจักร ด้วยจุดประสงค์ส่วนตัวคือต้องการเปลี่ยนพระมเหสี จึงแยกตัวจากศาสนจักร ถือโอกาสตั้ง Church of England ขึ้น สถาปนาพระองค์เองเป็นประมุขศาสนาสิ้นพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 พระนางแมรีซึ่งนับถือคาทอลิกเคร่งครัด ขึ้นครองราชย์ ก็กวาดล้างพวกที่ต่อต้านทั้งหมดเป็นการใหญ่ พวกนี้ถูกฆ่า บ้างถูกเผาทั้งเป็นจำนวนมาก จึงต้องหลบหนีออกต่างประเทศ กลุ่มหนึ่งหนีไปฮอนลอนด์ อีกกลุ่มหนึ่งลงเรือไปขึ้นที่"นิวอิงแลนด์" (ในปี ค.ศ.1620) พวกนี้มีปมในใจที่ถูกเบียดเบียนทางศาสนา จึงต้องหนีภัยทางศาสนามาหาอิสรภาพ (freedom) ซึ่งเป็นแกนสำคัญในการก่อตั้งประเทศอเมริกาดูภูมิหลังทางประวัติศาสตร์อย่างนี้ จึงพอมองเห็นใช่ไหมครับว่า ทำไมฝรั่ง (โดยเฉพาะอเมริกา) จึงรังเกียจที่จะให้ศาสนามาเกี่ยวข้องกับการปกครองประเทศจึงแยกรัฐออกจากศาสนา (Separation of Church and State) จึงมีกฎหมาย ห้ามสอนศาสนาในระบบโรงเรียน เมื่อไม่เอาศาสนา อันเป็นรากฐานของศีลธรรมจริยธรรมมาเป็นหลักในการพัฒนาประเทศ ก็ต้องคิดค้น "จริยธรรม" ขึ้นมาใหม่ อันเรียกว่า "จริยธรรมสากล"ซึ่งไม่เกี่ยวกับการหล่อหลอมพฤติกรรมของมนุษย์แต่อย่างใด เป็นเพียงทฤษฎีว่าด้วยความดี ความชั่ว มาตรฐานตัดสินดีชั่วพูดให้ชัดว่าเป็นแค่ทฤษฎีอย่างหนึ่งเท่านั้นเองสังคมที่ปฏิเสธศีลธรรมจริยธรรมทางศาสนา จึงไม่สามารถสร้างความดีงามขึ้นมาได้ จึงเต็มไปด้วยปัญหาสารพัดดังที่ทราบกัน แล้วเราก็ยังเป็นปลื้มชื่นชม และเอามาเป็นแบบอย่างทีนี้มาดูลักษณะความสัมพันธ์ของศาสนากับรัฐในแบบของพระพุทธศาสนาบ้าง มันเป็นแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศตะวันตกหรือเปล่าไม่ว่าใช้สมองซีกไหนไตร่ตรองก็ตอบได้ทันทีว่า ไม่เหมือนครับ เวลาพระบวชเข้ามา ท่านต้องสละบ้านเรือน สละอาชีพที่ทำอยู่ รวมถึงสละกิจการทางบ้านเมืองทุกอย่าง กฎหมายบ้านเมืองยังได้นำประเพณีนี้มาบัญญัติไว้ โดยเขียนว่า นักบวช นักพรตไม่มีสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้ง (ความคลุมเครือของการนิยามคำ มีผลกระทบถึงแม่ชีไป เพราะไปนิยามว่าแม่ชีคือนักบวชนักพรต ไม่มีสิทธิเลือกตั้งด้วย แล้วก็ไม่มีการแก้ไข สิทธิทางการเมืองของสตรีไม่ต่ำกว่าสองแสนคนถูกตัดสิทธิอย่างน่าเสียดาย)โดยโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระศาสนา พระสงฆ์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองโดยตรงอยู่แล้ว ท่านบวชมาศึกษา ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติได้ผลมากน้อยตามความสามารถแล้ว ก็เผยแผ่พระธรรม สั่งสอนประชาชน นั้นคือหน้าที่หลักของพระสงฆ์ ดังที่ตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า "พระสงฆ์จะต้องศึกษา-ปฏิบัติสัมผัสผล-เผยแผ่-แก้ปัญหา"ฝ่ายรัฐ (สมัยราชาธิปไตย) ก็มีหน้าที่ในการ (1) "ปกครองประเทศ" ให้เจริญรุ่งเรือง ร่มเย็นเป็นสุข โดยอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ (โดยเฉพาะทศพิธราชธรรม) (2) อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา รวมถึงช่วยศาสนจักรแก้ปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นอันเกินความสามารถของพระสงฆ์จะจัดการได้เหตุการณ์พระสงฆ์ผู้ใหญ่ต้องปาราชิกกระทบกระเทือนสังคมยุคนั้น พระสงฆ์ไม่สามารถจัดการได้ ทางอาณาจักรโดยพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ และหม่อมไกรสร ซึ่งพระองค์แรกเป็นผู้ดูแลกรมสังฆการีด้วย ช่วยชำระสะสางให้เรียบร้อยหรือย้อนไปสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช การพระศาสนาเสื่อมโทรมมาก ถึงขนาดพระสงฆ์ตั้งก๊กมีจุดมุ่งหมายทางการเมือง ก็ทรงยื่นมือเข้ามาช่วย ปราบก๊กเจ้าพระฝางลงแล้ว ยังส่งพระสงฆ์จากส่วนกลางไปฟื้นฟูพระศาสนา หรือย้อนขึ้นไปถึงสมัยอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช เกิดกรณีพระเพทราชากับพระเจ้าเสือ นำกองทัพล้อมวัง พระองค์ทรงเป็นห่วงข้าราชบริพารที่จงรักภักดีจะเป็นอันตราย จึงให้นิมนต์พระสงฆ์เข้ามาอุปสมบทแก่เหล่าอำมาตย์และข้าราชบริพารในพระราชวัง เมื่อบวชเป็นพระแล้ว ก็ตัดขาดจากทางบ้านเมืองไป ได้รับความคุ้มครอง อำนาจรัฐก็ไม่สามารถเอื้อมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระพุทธศาสนา มิได้เหมือนประเทศใดๆ ถ้าจะเรียกว่าเป็น separation of Church and State ก็เป็นความสัมพันธ์แบบ positive Separation มากกว่า negative Separation คือไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างพระศาสนากับรัฐ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนสอดประสานสัมพันธ์กัน เพื่อความมั่นคงของรัฐ และความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนาความสัมพันธ์แบบนี้พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า "อัญโญญนิสสิตา" (รัฐและพระศาสนาพึงอาศัยกันและกันตามหน้าที่ของตน) ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแทรกแซงอีกฝ่ายหนึ่งเพราะความเข้าใจลึกซึ้งอย่างนี้ พระมหากษัตริย์ในอดีตทุกพระองค์ จึงทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการก่อนขึ้นครองราชย์ เช่นรัชกาลที่ 1 ทรงประกาศว่าตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนาป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรีบรรทัดแรกตรัสถึงการอุปภัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา อันเป็นหน้าที่หลักของพระมหากษัตริย์อย่างหนึ่ง (ที่คณะผู้ก่อการถ่ายโอนมาด้วยอำนาจปฏิวัติ แล้วแกล้งทำตกหล่นในรัฐธรรมนูญ)บรรทัดสองตรัสถึงหน้าที่หลักอีกประการหนึ่งคือ การปกครองประเทศชาติและประชาชน ใคร่กราบเรียนว่า ท่านที่กลัวว่าใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว จะทำให้พระสงฆ์ยุ่งกับการเมือง ศาสนาไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เมื่อได้ทราบว่า ด้วยประเพณีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและพระศาสนาของสังคมไทยตั้งแต่ต้น คงสบายใจได้ พระศาสนาและพระสงฆ์ไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับการเมือง (ในความหมายของท่าน) แน่นอน เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่สอดประสานกัน เพื่อเป้าหมายคือความเจริญรุ่งเรืองแห่งชาติและพระศาสนา

ทางแห่งความชั่ว

วันที่ 06 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 17 ฉบับที่ 6002ทางแห่งความชั่วคอลัมน์ ธรรมะวันหยุดกิเลสภายในใจที่เป็นต้นกำเนิด หรือเหตุแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง ที่เกิดแล้วได้รับการสนับสนุนให้พอกพูนมากยิ่งขึ้น เป็นทางแห่งความชั่ว มี 3 ประการ1.โลภะ ความอยากได้สิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตน ด้วยอาการอันไม่ชอบธรรม โลภะนี้หากปล่อยให้เกิดขึ้นแล้วจะมีบริวารตามมา เช่น เป็นคนมักมาก มักตระหนี่ถี่เหนียว ชอบหลอกลวง ฉ้อโกง ลักขโมย ปล้นทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้นความอยากที่เป็นความต้องการของร่างกาย เช่น ความอยากกินข้าวเพราะหิว อยากดื่มน้ำเพราะความกระหาย ความอยากได้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งหุ่ม เพื่อป้องกันความหนาวร้อน หรืออยากได้สิ่งต่างๆ มาเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตแล้วได้มาด้วยการประกอบอาชีพสุจริต เช่นนี้ไม่จัดเป็นโลภะ ความอยากในทางที่ดี เช่น ความอยากประสบความสำเร็จการศึกษา เป็นต้น ทางธรรมเรียกว่า ฉันทะ คือแรงจูงใจใฝ่สำเร็จ2.โทสะ คิดทำร้ายผู้อื่นอย่างไร้ความเมตตา หรือคิดจะทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ทำให้บาดเจ็บ อับอาย เดือดร้อน หรือเสียทรัพย์สินต่างๆ อันเนื่องมาจากความไม่พอใจ โกรธเกลียด หากปล่อยให้โทสะเกิดขึ้นจะมีบริวารตามมา เช่น เป็นคนมีอารมณ์ฉุนเฉียว โกรธง่าย ขัดเคืองใจ จองล้างจองผลาญ จองเวรกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากัน คำพูดคำจาหยาบคาย ใส่ร้ายกันโทสะจัดเป็นกิเลสที่ร้ายแรงอย่างหนึ่งที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในตัวของผู้นั้น นับตั้งแต่ทำลายระบบความคิด ทำลายสุขภาพกายและสุขภาพจิต บุคคลใดก็ตามถ้าปล่อยให้โทสะครอบงำใจบ่อยๆ ตนเองจะกลายเป็นบุคคลประเภทมองโลกในแง่ร้าย ชอบก่อกรรมทำอันตรายแก่ตนและคนในสังคม3.โมหะความหลงไม่รู้จริง โดยที่ไม่รู้สภาพความเป็นจริงว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร ความโง่เขลาเบาปัญญา เป็นอาการมืดมนในจิตใจ ไม่สามารถคิดอะไรตามความเป็นจริงได้ โมหะจึงเปรียบเหมือนกับความมืด ถ้าความมืดปกคลุมในที่ใด คนที่ทำอะไรอยู่ในความมืด ก็อาจทำผิดพลาดได้หลายอย่าง ตั้งแต่น้อยๆ จนถึงมากที่สุด คนที่ถูกโมหะครอบงำจิตใจมีอาการเช่นเดียวกัน อาจทำความผิดพลาดได้ทุกอย่าง นับตั้งแต่เข้าใจผิดกัน ทะเลาะวิวาทกัน ทำร้ายกันด้วยวิธีต่างๆ รวมทั้งการทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตาย หากปล่อยให้โมหะเกิดขึ้นแล้วจะมีบริวารตามมา เช่น คิดฟุ้งซ่าน ว่ายากสอนยาก เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชั่วเป็นดี เป็นต้นเหตุให้โลภะ และโทสะเกิดขึ้น สามารถทำร้าย ทำลายชีวิตตนเองพร้อมคนรอบข้างให้เสียหายได้

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2550

NikomKumsoi issue

จับตา 5 ขั้วการเมือง ชิงเก้าอี้นายกเล็กนิคมคำสร้อย - 28/4/2550
จับตา 5 ขั้วการเมือง ชิงเก้าอี้นายกเล็กนิคมคำสร้อย เลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลนิคมคำสร้อย อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 พฤษภาคม 2550 เริ่มส่อเค้าของการต่อสู้ที่ดุเดือดเผ็ดมัน เมื่อ 5 ขั้วการเมืองฟอร์มทีมกันยกใหญ่เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งอย่างเต็มที่ชิดแพ้ไม่ได้ เริ่มจากผู้สมัครนายกเทศมนตรีหมายเลข 1 นายสันไชย พึ่งตน อดีตสมาชิกสภาเทศบาลตำบลนิคมคำสร้อย กลุ่มพลังพัฒนา นำทีมผู้สมัครสมาชิกสภาอี เขตละ 3 คน รวม 6 คน ผู้สมัครนายกเทศมนตรีหมายเลข 2 นายปกาสิฑฐ์ ธนะแพทย์ อดีตนายกเทศมนตรี ซึ่งถูกนายภาษิต นาโสก โค่นลงจากอำนาจเมื่อสมัยที่แล้ว นำลูกทีมลงสมัครครบทั้ง 2 เขต รวม 12 คน ในนามกลุ่มรักนิคม และมั่นใจว่าจะต้องกลับมารับใช้พี่น้องชาวนิคมคำสร้อยอีกครั้งอย่างแน่นอน ผู้สมัครหมายเลข 3 นายบุญเรือง โสมรักษ์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนในเขตอำเภอนิคมคำสร้อย ซึ่งได้ลาชควิตราชการมาหมาดๆ กลุ่มพัฒนานิคมคำสร้อย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่น่าจับตามองมีทีมอดคตนายกที่โค่นอำนาจ นายกปกาสิฑฐ์ ธนะแพทย มาแล้ว โดยการนำของนายภาษิต นาโสก อดีตนายกเทศมนตรี และคณะเทศมนตรีทั้งชุดมาร่วมทีม โดยมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นในการลงชิงชัยในครั้งนี้ ส่วนผู้สมัครนายกหมายเลข 4 นายสมัยอุคำ อดีตสมาชิกสภาจังหวัดมุกดาหาร สมัครในนามอิสระ นำลูกทีมเข้ามาสมัครเพียง 2 คนเท่านั้น โดยหวังเป็นเพียงตัวแปรในสภา ผู้สมัครหมายเลข5 นายธัชชัย แสงประจักษ์ กลุ่มอิสระ นักการเมืองหน้าใหม่ มีลูกทีมมาลงสมัครในครั้งนี้แค่ 3 คนเท่านั้น โดยมีความหวังเป็นเพียงแค่ตัวแปรในกรณีการเลือกตั้งมีปัญหา ก็เป็นที่น่าจับตามองว่าหมายเลข 1 นายสันไชย พึ่งตน เคยร่วมทีมสมาชิกสภาของอดครนายกภาษิต นาโสก แยกขั้วการเมืองออกมาเสียเอง เพราะต้องการฉายแสงให้ชาวนิคมคำสร้อยรู้ว่านี่คือ สันไชย พึ่งตน ไม่หวังพึ่งคนอื่น นอกจากขอคะแนนเสียงจากพี่น้องชาวนิคมคำสร้อยเท่านั้น ส่วนนายบุญเรือง โสมรักษ์ ก็ใช่ย่อย ลาจากชีวิตครูมาเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งก็เพื่อต้องการรับใช้พ่อแม่ พี่น้องชาวนิคมคำสร้อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแรงสนับสนุนจากอดีตนายก ภาษิต นาโสก ยอกทีมบริหารและสมาชิกสภาฯ ตบเท้ามาร่วมกันคึกคัก ถึงกับเอ่ยว่าเราต้องเป็นหนึ่ง ไม่ต้องการเป็นสองรองใคร ส่วนนายปกาสิฑฐ์ ธนะแพทย์ อดีตนายกฯที่ถูกนายภาษิต นาโสก อดีตนายกเช่นกันโค่นอำนาจเมื่อสมัยที่ผ่านมา ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ขอสู้จนสุทฤทธิ์ ถึงไหนถึงกัน เพื่อต้องการกู้ชีพคืนมา โดยจัดทีมงานชุดเก่าผสมใหม่บ้าง ลงสู้ศึกในครั้งนี้ ยิ่งใกล้ถึงวันเลือกตั้งเข้าทุกทีก็ยิ่งมีการร้องเรียนนัวเนียกันไปหมดให้ให้พลตำรวจตรีเพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งเป็นประธานการเลือกตั้งประจำจังหวัดมุกดาหารและคณะกรรมการการเลือกตั้งก็พากันปวดหัวไปหลายตลบแล้ว นี่ซิครับถึงเรียกว่า ดุเด็ด เผ็ดมันส์ มันส์จริงๆ

pitsanulok issue

นครพิษณุโลกจับมือการไฟฟ้าภูมิภาค - 28/4/2550
นครพิษณุโลกจับมือการไฟฟ้าภูมิภาค ++ ผุดโครงการ “พิษณุโลกนครไร้สาย” พิษณุโลก : นางเปรมฤดี ชามพูนท นายกเทศมนตรีนครพิษณุโลก กล่าวว่า เทศบาลนครพิษณุโลกกำหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมือง เน้นให้พิษณุโลกเป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์สวยงาม ประชาชนมีความสุข นอกจากนั้นพิษณุโลกยังเป็น 1 ใน 18 เมืองใหญ่ที่อยู่ในเป้าหมายในการพัฒนาระบบเคเบิ้ลใต้ดินตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549) นั่นจึงเป็นที่มาของโครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ทำให้ถนนในเขตเทศบาลนครพิษณุโลกปราศจากเสาไฟฟ้า โดยการนำสายไฟลงไปไว้ใต้ดินตามโครงการก่อสร้างปรับปรุงสาธารณูปโภคพื้นฐานระบบไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างเทศบาลนครพิษณุโลกและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยร่วมลงนามความร่วมมือ (MOU) โครงการพิษณุโลกนครไร้สาย (UNWIRED PITSANULOK) ก่อสร้างปรับปรุงสาธารณูปโภคพื้นฐานระบบไฟฟ้าใต้ดิน โดยนำร่องในถนน 3 สายหลัก ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก ประกอบด้วย ถนนนเรศวร, ถนนเอกาทศรฐ และถนนบรมไตรโลกนารถ การก่อสร้างปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ระบบจำหน่ายไฟฟ้า และระบบสื่อสารอื่นๆ ที่อยู่ภายในโครงการ ตามแบบแปลนของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวม 3 ช่วง ระยะทางรวมทั้งสิ้น 3,000 เมตร ดังนี้ ระยะที่ 1 ถนนนเรศวร (โครงการนำร่อง) จากสถานีรถไฟถึงสะพานเอกาทศรถ ระยะทาง 300 เมตร แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 งบประมาณ 25,000,000 บาท ระยะที่ 2 ถนนเอกาทศรฐ จากสะพานสูงถึงแยกถนนราเมศวร ระยะทาง 1,000 เมตร แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ.2551 งบประมาณรวม 60,000,000 บาท ระยะที่ 3 ถนนบรมไตรโลกนารถ จากแยกถนนพระองค์ดำถึงแยกถนนราษฎร์อุทิศ ระยะทาง 1,700 เมตร แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบประมาณรวม 150,000,000 บาท ซึ่งงบประมาณค่าก่อสร้างทั้งโครงการรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 235,000,000 บาท โดยแบ่งออกเป็นงบประมาณของเทศบาลนครพิษณุโลก จำนวน 88 ล้านบาท และงบประมาณของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 147 ล้านบาท “สำหรับรูปแบบในการดำเนินงานเป็นความร่วมมือระหว่างเทศบาลนครพิษณุโลกดูแลรับผิดชอบด้านงานโยธา และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาครับผิดชอบงานระบบไฟฟ้าใต้ดิน นอกจากนั้น ยังมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย บริษัท ท.ศ.ท. คอร์ปอเรชั่น จำกัด,บริษัทการสื่อสารแห่งประเทศไทย ,บริษัท TT&T จำกัด (มหาชน) ,บริษัท แอดวานซ์อินโฟเซอร์วิส (AIS) ,บริษัทโทเทิล แอสเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ,บริษัท TRUE จำกัด (มหาชน) ,บริษัท MSS เคเบิลทีวี ,บริษัท TT เคเบิลทีวี ,สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง พิษณุโลก ,สถานีรถไฟพิษณุโลก และกองการประปาเทศบาลนครพิษณุโลก ในส่วนของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และแนวทางการป้องกันแก้ไข เช่น ผลกระทบ จาการก่อสร้าง เช่น ฝุ่นละออง เศษดินวัสดุก่อสร้างเสียงดัง สามารถควบคุมป้องกันแก้ไขด้วยการกำหนดเป็นข้อบังคับการทำงานของผู้รับจ้างเหมาก่อสร้างอย่างเคร่งครัด บรรจุลงในรายการสัญญาจ้าง ผลกระทบจากปัญหาจราจรขณะก่อสร้าง มีช่องจราจรลดน้อยลง สามารถควบคุมป้องกันแก้ไขโดยการกำหนดเป็นข้อบังคับเวลาการทำงานก่อสร้างหลีกเลี่ยงเวลาคับขัน และการขอความร่วมมือจากเจ้าพนักงานจราจรเข้าควบคุมเป็นกรณีพิเศษ ผลกระทบจากการบริการสาธารณูปโภคหยุดชะงัก เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ สามารถควบคุมบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายโดยการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้าให้เข้าถึง และการประสานงานที่กระชับทุกขั้นตอน และผลกระทบจากงานก่อสร้างขุดดินเปิด - กีดขวางทิ้งไว้นาน สามารถควบคุมบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายโดยกำหนดเทคนิควงรอบการทำงาน และการเตรียมผิวจราจรแบบเร่งรัดชั่วคราว” นางเปรมฤดี กล่าว

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2550

ดวง23-29เมษายน50

ลัคนา (ลั) ราศีกรกฎในรอบสัปดาห์นี้มีผู้พยายามแนะนำให้ท่านเที่ยวเตร่ไปตามสถานเริงรมย์หรือแหล่งอบายมุข อันมิใช่การสร้างสรรค์ชีวิตให้ดีขึ้นแต่ประการใด เงินตราจะเกิดจากงานโดยตรง จะหวังการเสี่ยงโชคไม่ได้แน่ ปัญหาใหญ่ในงานจะเกิดจากการขาดเงินทุนหมุนเวียน อาจปรับเปลี่ยนงานหรืองานที่ทำอยู่ซบเซาไปชั่วคราว ถ้าท่านว่างงานอยู่จะมีผู้เสนองานที่ท่านไม่ค่อยพอใจนักให้ทำ ซึ่งบางทีท่านอาจจะพบกับเรื่องแปลกๆ ใหม่ อย่างน้อยก็มีเพื่อนใหม่ การเรียนไม่ว่าวิชาอะไรจะมีแต่ความสำเร็จและก้าวหน้า ความรักอยู่ในเกณฑ์ที่ทำให้ท่านสบายใจ

สำนวนจีนจากมติชน

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10634

chegyu de laiyuan ji qi tedian ที่มาและลักษณะพิเศษของสำนวนจีน


คอลัมน์ เรียนไทยได้จีน

โดย ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีนสิรินธร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง



Chengyu shi Hanyu zhong yizhong xiyong le de guding cizu huo duanju,

เฉิงยฺหวี่ ฉื้อ ฮั่นยฺหวี่ จง อี้ จ่ง สีย่ง เลอะ เตอะ กู้ติ้ง ฉือจู่ ฮั่ว ตฺว่านจฺวี้

สำนวนเป็นกลุ่มคำ หรือวลีชนิดหนึ่ง ที่มักใช้กันในภาษาจีน



daduo shi you sige zi goucheng de.

ต้าตัว ฉื้อ โหยว ซื่อเกอะ จื้อ โก้วเฉิง เตอะ

ส่วนใหญ่ประกอบขึ้นด้วยตัวอักษร 4 ตัว

สำนวนจีนมีที่มาจากประวัติศาสตร์ นิทานแฝงข้อคิด เช่น



ke zhou qiu jian

เค่อ โจว ฉิว เจี้ยน

ยึดมั่นกฎเกณฑ์คร่ำครึไม่เปลี่ยนแปลง

สำนวนนี้เล่ากันว่า มีที่มาจากชายคนหนึ่งทำดาบหล่นลงน้ำขณะนั่งเรือข้ามแม่น้ำ เขารีบทำเครื่องหมายไว้บนกราบเรือตรงจุดที่ดาบหล่น พอเรือหยุด เขาจึงลงไปหาดาบใต้น้ำ ณ จุดตรงกับที่เครื่องหมายที่เขาสลักไว้บนกราบเรือ แต่ที่สุดเขาก็หาดาบไม่พบ

บางสำนวนดัดแปลงมาจากโคลงกลอนโบราณที่มีชื่อเสียง และมีไม่น้อยที่มาจากสุภาษิต คำพังเพย ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น



hutou shewei

หู่ โถว เฉอ เหว่ย์

ม้าตีนต้น

แม้ว่าสำนวนจีนมักจะมาจากเรื่องราวที่บันทึกไว้ในสมัยโบราณ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกสำนวนเป็นสำนวนที่คนโบราณคิด หรือแต่งขึ้น มีการสร้างสำนวนใหม่ๆ ออกมาตลอดเวลา และมีหลายสำนวนที่คนปัจจุบันคิดขึ้น

โครงสร้างสำนวนจีนบางครั้งจะเป็นลักษณะนำคำสองคำมาประกอบกัน เช่น



langtun huyan

หลางถุน หู่เยี่ยน

ตะกละตะกลาม



jin xiao shen wei

จิ๋น เสี่ยว เฉิ้น เวย์

คิดเล็กคิดน้อย

สำนวนข้างต้นเป็นการนำคำที่มีความหมายคล้ายกันมาประกอบกันให้เกิดเป็นสำนวน นอกจากนี้ ยังมีการนำคำตรงข้ามมาประกอบกันเป็นสำนวน เช่น



yan gao shou di

เหยี่ยน เกา โฉ่ว ตี

ตาสูงแต่ไร้ฝีมือ

หรือ



qu chang bu duan

ฉฺวี่ ฉาง ปู่ ตฺว้าน

บั่นยาวต่อสั้น

นอกจากนั้น ยังนำตัวเลขมาประกอบในสำนวน เช่น



san xin er yi

ซาน ซิน เอ้อร์ อี้

สองจิตสองใจ

หรือ



luan qi ba zao

ลฺว่าน ชี ปา เจา

ยุ่งเหยิงวุ่นวาย

บางครั้งมีการซ้ำคำในสำนวนเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้คำ เช่น



ren lao ren yuan

เริ่น หลาว เริ่น เยฺวี่ยน

ทรหดอดทน

หรือ



huan de huan shi

ฮฺว่าน เต๋อ ฮว่าน ฌือ

พะวงผลประโยชน์ส่วนตัว

สำนวนจีนบางสำนวน ก็มีโครงสร้างเหมือนวลี หรือประโยคทั่วไป เช่น ประกอบด้วย ประธาน กริยา กรรม เช่น



yugong yi shan

ยฺวี่กง อี๋ ฌาน

ลุงโง่ย้ายภูเขา

หรือ



huangran da wu

ห่วง หราน ต้า อู้

นึกได้ทันที

ส่วนใหญ่แล้วสำนวนจีนมักเป็นวลีที่ตายตัว ไม่สามารถย้ายตำแหน่ง หรือสลับตำแหน่งของคำได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ทั้งหมดทีเดียว ถ้ามีความจำเป็นต้องสลับคำให้เหมาะกับสถานการณ์ก็ย่อมทำได้ เช่น



shi ban gong bei / shi bei gong ban

ฉื้อ ป้าน กง เป้ย์ / ฉื้อ เป้ย์ กง ป้าน

ได้ผลคุ้มค่า / ได้ผลไม่คุ้มค่า

วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2550

ขัอคิดของ ว วชิรเมธี (copy มาครับ)

รู้จักคนมากมายหลายวงการ แต่ไม่รู้จักตนเอง ก็เสื่อม
รู้จักบริหารคนบริหารงาน แต่ไม่รู้วิธีบริหารใจ ก็เสื่อม
รู้จักสร้างตึกสูงนับร้อยชั้น แต่ไม่รู้วิธีฝึกใจให้สูง ก็เสื่อม
รู้เรียนเอาปริญญาสูงๆ แต่ไม่รู้จักยกพฤติกรรมให้สูง ก็เสื่อม...

หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิม�

หนังสือพิมพ์มติชน : หนังสือพิม�: " ลัคนา (ลั) ราศีกรกฎ

ในรอบสัปดาห์นี้ท่านจะมีความสุข จะได้ลาภจากบริวารของท่านเอง หรือบริวารของศัตรู ศัตรูจะเกิดโลภะโทสะและโมหจริต อันเป็นการบั่นทอนกำลังของเขาเอง เรื่องเช่นนี้ถ้าท่านอยู่ใ�"

ดวงด้วงด๋วง

ลัคนา(ลั) ราศีกรกฎในรอบสัปดาห์นี้ ท่านจะต่อสู้กับคนที่ขัดผลประโยชน์อย่างไม่ยอมลดราวาศอกอะไรใดๆ ทั้งสิ้น ยอมเป็นพิมเสนแบบพร้อมที่จะแลกกับเกลือทุกเม็ด แต่ถือศักดิ์ศรีอย่างแรงไม่ยอมก้มศีรษะให้ใคร ถือตัวว่าเป็นต้นไทรใหญ่ ไม่ใช่ต้นอ้อ แม้แต่พายุใหญ่ก็ตั้งตรงต้านแรงลมแบบยอมหักแต่ไม่ยอมงอ ซึ่งต่างกับต้นอ้อต้นไผ่ทั้งปาง อังคารรวมราหูในเรือนมรณะ ท่านจะเสียสละโดยไม่มีใครเข้าใจ มิหนำซ้ำคนที่ท่านได้ช่วยเขาไว้แบบปิดทองหลังพระ ยังอาจเป็นศัตรูโดยที่ท่านนึกไม่ถึง เมียนายมาด่าว่านายของท่านแล้วท่านออกรับแทนอย่างเผ็ดร้อน เมื่อเขาคืนดีกันได้ท่านก็แย่ไปตามระเบียบ