คอลัมน์ วัยทวีนส์
โดย เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยึดอำนาจโดยทหารในอดีต หรือการออกมาเรียกร้องสิทธิของประชาชนด้วยกลุ่มนักศึกษา และกลุ่มคนชนชั้นกลางที่ได้อำนาจคืนมาจากทหารในปี พ.ศ.2516
จนกระทั่งเกือบ 8-9 ปีที่ผ่านมานั้นรูปแบบการเมืองได้มีการพลิกผันด้วยการมีกลุ่มนายทุนเข้ามาบริหารประเทศชาติ เกิดการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยที่ได้รับชัยชนะอย่างล้นหลามในปี พ.ศ.2543 จนเป็นที่มาของแง่คิดระบอบการปกครองเชิง "ธนาธิปไตย" คือการที่กลุ่มนายทุนเข้ามาบริหารบ้านเมือง บ้างก็หากินจากความเดือดร้อนของผู้คนด้วยการแสวงหาสิทธิพิเศษและโครงการต่างๆ จากภาครัฐ โดยนำนโยบายประชานิยมมาเป็นฐานคะแนนเสียงอีกทีหนึ่ง ทำให้สังคมไทยเกิดการแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มรากหญ้า และกลุ่มชนชั้นกลาง
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกระหว่างคนไทยด้วยกัน จนทำให้เกิดปัญหาบานปลายมาถึงวันนี้
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยตลอดระยะเวลา 40-50 ปีที่ผ่านมา ประเด็นด้าน "ประชาธิปไตย" กลับกลายเป็นพื้นฐานแห่งการขัดแย้งทางสังคมมาโดยตลอด
"ความขัดแย้งนี้สามารถอธิบายในเชิงหลักการได้ว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้วนั้น คือความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งผู้คนสามารถแสดงความคิดเห็น มีเสรีภาพในการพูดและคิด โต้วาทีเพื่อสังคมที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น"
สิ่งนี้ถือว่าเป็นความคิดเชิงการเมือง เชิงอุดมการณ์ที่ยึดแนวคิดเสรี และเน้นเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก แต่ปัญหาอยู่ที่ "วัฒนธรรมการเมืองไทย" ทั้งทางภาครัฐและภาคประชาชน กล่าวคือนำความขัดแย้งทางความคิดไปใช้ในทางที่ผิด
ผมขอเรียนตามตรงเลยครับว่า ในมุมมองของคนรุ่นใหม่แล้วนั้น
""การเมืองที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนในสังคมไม่ใช่การเมืองที่แท้จริง" แต่เป็นการเมืองที่นำความขัดแย้งทางความคิดไปสู่ความรุนแรงด้วยการยั่วยุ เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มที่อ้างว่าทำเพื่อประชาชน เพื่อประชาธิปไตย"
โดยสร้างความศรัทธาและความเชื่อมั่นจากภาพลักษณ์ และอุดมการณ์ที่ดูเหมือนจะดี แต่สุดท้ายกลับนำความศรัทธาของผู้คนมาเป็นเกราะกำบัง มาเป็นอาวุธทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้สังคมไทยในวันนี้เกิดความรุนแรงทางความคิด และทางปฏิบัติ และสุดท้ายกลายเป็นสังคมที่แตกอย่างเป็นเสี่ยงๆ ในวันนี้
"ประชาธิปไตยไม่ใช่การแบ่งพรรคแบ่งพวก ตีกันจนบาดเจ็บล้มตายไปตามๆ กัน ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน"
พวกเราได้แต่คาดหวังไว้ว่าการเมืองในอนาคตจะสดใสมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าแก่นแท้ยังหนีไม่พ้นเรื่องของผลประโยชน์และการฉ้อราษฎร์บังหลวง
แต่ปัญหาที่แท้จริงนั้นกลับกลายเป็น ทั้งๆ ที่การเมืองไทยเป็นเช่นนี้ แต่ "ผู้คนกลับรับได้"
เราก็ต้องกลับมาถามตนเองว่ารับได้เพราะอะไร ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกนี้เป็นพวกหากินบนกระดูกสันหลังของชาติ พวกเรารู้ว่าเขากินกันมากน้อยขนาดไหน แต่กลับปล่อยวาง
"ปัญหาอยู่ที่ความคิดและความเข้าใจของพวกเราชาวไทยที่ยังไม่พัฒนามิติทางความคิดด้านการเมืองและการปกครอง"
การเมืองไทยก็เหมือนกับคนที่อยู่ในห้องไอซียู รัฐธรรมนูญก็ไม่ต่างอะไรไปจากเครื่องช่วยหายใจราคาถูก ใช้แป๊บเดียวก็พัง จนหลายฝ่ายพูดว่า "วงจรอุบาทว์" ย่อมไม่มีวันสิ้นสุด และมักจะโทษนักการเมือง
"แต่วงจรอุบาทว์นั้นเริ่มต้นที่พวกเรานั่นแหละครับ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจว่าวงจรอุบาทว์นั้นคืออะไร ประชาธิปไตยย่อมไม่มีวันเต็มใบ"
"วงจรอุบาทว์ภาคประชาชน" ก็คือช่องโหว่ทางความคิด ความเข้าใจ การรู้จักโครงสร้างทางการเมืองและการปกครอง รวมถึงการเรียกร้องสิทธิภาคประชาชน ซึ่งมีคนจำนวนน้อยที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้
ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงเรื่อง ""การศึกษาด้านการเมืองการปกครองที่เน้นสิทธิของประชาชน"" ที่พวกเราต้องรณรงค์ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ในวันนี้ผู้คนแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่กล้าพูดเรื่องการเมือง ไม่กล้าหยิบยกประเด็น เพราะกลัวจะทะเลาะกัน ขนาดเพื่อนรักยังทะเลาะ ครอบครัวยังแบ่งแยกขัดแย้งกันเอง เพราะเกิดจาก "ความศรัทธา" ในตัวนักการเมืองแบบผิดๆ
"สิ่งที่ควรพัฒนาคือความคิด คิดให้ทันการเมืองเพื่อให้ทันเล่ห์นักการเมือง จึงเป็นรากฐานของสังคมประชาธิปไตยที่ถ่องแท้"
คนรุ่นใหม่ต้องรู้จริง คิดให้ทัน เมื่อวันนั้นมาถึงประชาชนคงไม่ต้องเกรงใจ และคาดหวังนักการเมืองถึงเพียงนี้ เพราะสุดท้ายอำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของท่านเอง
"ประชาธิปไตยไม่ใช่อำนาจของ ส.ส.หรือฝ่ายบริหาร ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่เสียงโห่ร้องของคุณ แต่เป็นความคิดและความเข้าใจของคุณมากกว่าครับ"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น