วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เลื่อนประชุมสภาอำนาจฯ

วันที่ 04 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11196 มติชนรายวัน"ศักดิ์ชัย"เลื่อนประชุมสภาอำนาจฯ หลังนัดแรกล่ม-วอนส.ท.ทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลางประกาศรับรองผลการเลือกตั้งให้นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ เป็นนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ จากนั้นมีการกำหนดให้เปิดประชุมวิสามัญครั้งแรก เพื่อให้ผู้บริหารแถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภา แต่ปรากฏว่ามีสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) เข้าร่วมประชุมเพียง 8 คน จากจำนวน ส.ท. 24 คน ทำให้ไม่ครบองค์ประชุม และนายศักดิ์ชัยไม่สามารถแถลงนโยบายได้ โดย ส.ท.ที่ไม่เข้าร่วมประชุมทั้ง 10 คน ให้เหตุเรื่องการลากิจและลาป่วยนายศักดิ์ชัยกล่าวว่า ได้เลื่อนนัดประชุมสภาออกไปเป็นวันที่ 6 พฤศจิกายน คาดว่าจะเรียบร้อยดี โดยฝากถึงเพื่อนสมาชิกทุกคนขอให้เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกันเพื่อผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน"เทศบาลมีเรื่องที่จะดำเนินการร่วมมือกันพัฒนาเทศบาลให้เจริญก้าวหน้าหลายเรื่อง ทุกคนควรหันหน้าเข้าหากันสร้างความสมานสามัคคี สร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญก้าวหน้า หากขัดแย้งกันไม่เกิดผลดีกับบ้านเกิดเมืองนอน ขอให้เห็นแก่ประชาชนที่เลือกตั้งเราเข้ามาเป็นตัวแทนพัฒนาบ้านเมือง โดยร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน" (กรอบบ่าย)

วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ธุรกิจต้องช่วยสังคม (Creative Capitalism) จาก มติชน

ธุรกิจต้องช่วยสังคม (Creative Capitalism)โดย สมเกียรติ พงษ์กันทามีข่าวดีว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2551 ที่ผ่านมา ที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติได้ลงมติตั้งกองทุน 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อช่วยประชาคมโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาและที่กำลังพัฒนา ในการต่อสู้กับโรคต่างๆ ที่ป้องกันได้ ในงานการศึกษา การสาธารณสุข และความมั่นคงด้านโภชนาการ และได้ตั้งเป้าหมายไว้ให้บรรลุผลเจ็ดปีข้างหน้า ใน พ.ศ.2558และในขณะเดียวกัน ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยโดยสถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทย ก็ได้รณรงค์ให้องค์กรธุรกิจต่างๆ ได้เข้าใจในบทบาทของตนในความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้นความรับผิดชอบของธุรกิจต่อสังคม (Corporate Social Responsibility, CSR หรือที่บางท่านให้ชื่อว่าบรรษัทอภิบาลนั้น หมายความถึงการดำเนินกิจกรรมขององค์กรธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคม ซึ่งมีหลายรูปแบบต่างกันตามความเหมาะสมของธุรกิจ โดยมีหลักการที่ไม่เอาเปรียบหรือเบียดเบียนประชาชนผู้บริโภค รู้จักแบ่งปันผลประโยชน์ เกื้อกูลประชากรในภาพรวมของสังคมธุรกิจของระบบทุนนิยม มีหลายรูปแบบสำหรับการทำกำไรอย่างเดียวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือที่เรียกกันว่า ทุนนิยมดิบ (Raw Capitalism) นั้น ถือว่าขาดความชอบธรรม และเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีการคลังของสหรัฐอเมริกาบอกว่าหมดสมัยแล้ว (Raw Capitalism is a dead end-Henry Paulson, US Treasury Secretary)ทุนนิยมแบบการตลาดอิสระ (Free Marketing Capitalism) ที่ปราศจากการควบคุมดังเช่นปฏิบัติอยู่ในสหรัฐในปัจจุบันนั้น เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เช่นกรณีหนี้สินล้นพ้นตัวที่เกิดขึ้นกับบริษัทเงินทุน วาณิชธนกิจ รวมทั้งแหล่งทุนให้กู้สำหรับอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ เช่น เลห์แมน บราเดอร์ส (Lehman Brothers) เป็นต้นวิกฤตความล้มเหลวของตลาดการเงินระบบทุนนิยมแบบการตลาดอิสระของสหรัฐนี้ได้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจไปทั่วทุกมุมโลก เพราะผู้บริหารองค์กรเหล่านั้นขาดความเข้าใจและความรับผิดชอบต่อประชาคมทั้งสองกลุ่มคือ กลุ่มภายใน ได้แก่ ลูกจ้าง พนักงาน ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นของบริษัท และกลุ่มภายนอก ได้แก่ ลูกค้า คู่ค้า คู่แข่งขัน ชุมชนรอบข้าง และประชาคมโลกที่ได้รับผลกระทบเมื่อ 38 ปีมาแล้ว ใน พ.ศ.2513 ตัวแทนผู้บริโภค ราล์ฟ เนดเดอร์ (Ralph Nader, a consumer advocate) ได้สนับสนุนให้มีตัวแทนประชาชนผู้บริโภคและผู้ถือหุ้นรายย่อยเข้าไปนั่งในคณะกรรมการของบริษัทผลิตรถยนต์จีเอ็ม (General Motors, GM) ของสหรัฐ และพยายามผลักดันให้บริษัทตั้งคณะกรรมการรับผิดชอบประชาสังคม (a committee on corporate responsibility)เป็นสาเหตุให้มิลตัน ฟริดแมน (Milton Friedman) ปรมาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลท่านหนึ่งออกมาโต้แย้งว่าความรับผิดชอบของวาณิชธุรกรรมคือการหาเงินแก่องค์กรและเพิ่มกำไรแก่ผู้ถือหุ้นเท่านั้น (The social responsibility of business is to increase its profits)การโต้แย้งนี้ทำให้ผู้บริหารองค์กรทั้งหลายนำมาเป็นข้ออ้างเข้าข้างตนเองในการทำกำไรให้มากที่สุดในการประชุมทางเศรษฐกิจของโลกที่เมืองดาโวส สวิตเซอร์แลนด์ (Davos, Switzerland) เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา บิล เกตต์ (Bill Gates) ได้กล่าวถึงนวัตกรรมใหม่ของทุนนิยมที่เขาเรียกว่า ทุนนิยมแบบสร้างสรรค์ (Creative Capitalism) ที่ให้องค์กรธุรกิจเข้าไปมีส่วนในการช่วยสังคมและประชาคมโลกกลุ่มด้อยโอกาส (To help those who were left behind)เขาเห็นว่าความรับผิดชอบของเราในสังคมนี้มีสองส่วน คือ ส่วนของตัวเองและส่วนที่เห็นแก่ผู้อื่น ส่วนที่เห็นแก่ตัวเองนั้นควรรับภาระเองถ้าสามารถจ่ายได้ แต่ผู้ด้อยโอกาสที่ไม่สามารถจ่ายได้นั้นน่าจะเป็นภาระของรัฐและภาคธุรกิจและการกุศลโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ด้อยพัฒนาทั้งหลาย และเขาได้ทำเป็นตัวอย่างโดยการบริจาคตั้งกองทุน (Bill and Melinda Gates Foundation) และบริหารโครงการการกุศลเหล่านั้นเป็นจำนวนหลายพันล้านเหรียญ ในปีที่ผ่านมากองทุนนี้ได้บริจาคเงินมากกว่า 100 ล้านเหรียญเพื่อช่วยต้านเอดส์ วัณโรค และมาลาเรีย (Global Fund to Fight AIDS, Tuberculosis and Malaria)กองทุนนี้ได้ช่วยจ่ายยาที่จำเป็นแก่ประชาชนกว่า 80,000 คนในหลายประเทศและได้ช่วยให้คนกว่า 1.6 ล้านคนได้รับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV tests)หนึ่งในกองทุนเหล่านั้นได้มอบให้สโมสรโรตารี่ จำนวน 100 ล้านเหรียญ เพื่อช่วยขจัดโปลิโอให้ขาดหายไปจากโลก (Rotary"s Polio Eradication Project)หากดูลึกลงไปแล้วจะเห็นว่าระบบทุนนิยมแบบสร้างสรรค์นี้ไม่ใช่ของใหม่แต่ได้เกิดมานานแล้วต่อเนื่องตั้งแต่เมื่อ 209 ปีมาแล้ว ตัวอย่างเช่นใน พ.ศ.2342 โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen) เจ้าของโรงงานปั่นด้ายในสกอตแลนด์ได้ปฏิรูปสังคมอุตสาหกรรมโดยตั้งกองทุนสำหรับคนงานที่เจ็บป่วยและเลิกใช้แรงงานเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ขวบ เมื่อถูกประท้วงจากผู้ถือหุ้น เขาได้หาผู้ถือหุ้นใหม่และประกันผลกำไรไว้ที่ร้อยละ 5 ที่เขาเห็นว่ามากพอสมควรและที่เหลือจากนั้น ยกให้เป็นงบฯสวัสดิการของคนงานพ.ศ.2432 มีนายทุนชื่อ แอนดรูว์ คาร์เนกี้ (Andrew Carnegie) เห็นว่าคนมีเงินน่าจะต้องช่วยคนจน (trustee for the poor) ได้สร้างห้องสมุด 2,509 แห่ง และบริจาคร้อยละ 90 ของทรัพย์สินที่มีอยู่ให้การกุศลพ.ศ.2457 เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) ผู้ผลิตรถยนต์แห่งหนึ่ง ได้เปลี่ยนมาตรฐานการครองชีพของคนในโรงงาน จากคนงานมาเป็นลูกค้า โดยเพิ่มค่าแรงให้อีกเท่าตัว มาตรการนี้ได้รับการต่อต้านจากนายทุนทั่วสหรัฐ รวมทั้งนิตยสารนิวยอร์กไทม์ (New York Times) และวอลล์สตรีท (Wall Street Journal)พ.ศ.2503 เดวิด แพคการ์ด (David Packard) เจ้าของธุรกิจคอมพิวเตอร์รุ่นแรกของสหรัฐ ได้กล่าวในการสัมมนาของบริษัทว่า มีคนจำนวนมากได้ทึกทักเอาว่า การตั้งบริษัทขึ้นมานั้นเพื่อทำเงินและสร้างกำไร ก็มีส่วนจริงเพราะต้องทำให้บริษัทอยู่รอด แต่ถ้าวิเคราะห์ให้ลึกลงไปแล้วจะเห็นว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือหลายคนร่วมกันตั้งธุรกิจขึ้นเป็นกิจการร่วมกัน เพราะเขาไม่สามารถที่จะทำคนเดียวได้ และการกระทำนั้นถือเป็นการช่วยสังคมส่วนรวมด้วยพ.ศ.2505 เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ (David Rockefeller) ประธานธนาคารเชสแมนฮัตตัน (Chase Manhattan Bank)ให้ความเห็นว่า ในอดีตเจ้าของกิจการมีสิทธิเต็มที่ในการใช้ทรัพย์สินทำเงินสร้างกำไรและผลประโยชน์ตามต้องการ แต่ปัจจุบันนี้สังคมได้วิวัฒนาการมาถึงจุดที่ผูกพันกันทำให้ต้องรับภาระของสังคมมากขึ้น ผู้บริหารบริษัทหรือกิจการต้องรับผิดชอบต่อทั้งคนงาน พนักงานองค์กร และประชาชนผู้บริโภคทั่วไปอีกด้วยพ.ศ.2526 บริษัทบัตรเครดิตอเมริกันเอ็กซ์เพรส (American Express, AMEX) ได้เริ่มนโยบายการตลาดแบบมีส่วนร่วมการกุศล (Cause Related Marketing) เพื่อเชิญชวนชักจูงให้ผู้บริโภคและลูกค้าซื้อของที่มีส่วนร่วมในการกุศลด้วย เช่น การหาทุนปฏิสังขรณ์อนุสาวรีย์แห่งสันติภาพ (The Statue of Liberty Restoration Project) ที่ประสบผลสำเร็จด้วยดียังมีหลายตัวอย่างดีๆ เช่น มีบริษัททำขนมและของหวานในอังกฤษร่วมลงทุนกับเกษตรกรชาวกานาปลูกโกโก้เพื่อทำช็อกโกแลต บริษัทผลิตเม็ดกาแฟของสหรัฐ เช่น สตาร์บัคส์ (Starbucks) และพีทส์ (Peet"s) ลงทุนจำนวนมากและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรหลายประเทศในแอฟริกาในการปลูกและผลิตเม็ดกาแฟบริษัทเคมีสุมิโตโม (Sumitomo Chemical) ลงทุนในบริษัทเอทูซีเทกซ์ไทล์มิลส์ ของแทนซาเนีย (Tanzania"s A to Z Textile Mills) เพื่อผลิตมุ้งกันแมลงตั้งเป้าไว้ปีละ 10 ล้านชิ้นบริษัทรองเท้าทอมส์ (Toms) ที่เมืองซานตามอนิกา (Santa Monica based) รัฐแคลิฟอร์เนีย โฆษณาว่าถ้าท่านซื้อรองเท้าหนึ่งคู่ทางบริษัทจะบริจาคหนึ่งคู่แก่เด็กด้อยโอกาสกรณีเหล่านี้น่าจะถือเป็นตัวอย่างที่ดี สำหรับธุรกิจในประเทศไทยได้บ้าง

วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ธรรมของผู้ดีคอลัมน์ ธรรมะ จากข่าวสด

ธรรมของผู้ดีคอลัมน์ ธรรมะวันหยุดพระราชสุธี (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร www.watdevaraj.com watdevaraj@hotmail.comธรรมของผู้ดี หรือคุณสมบัติของคนดี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ 7 ประการด้วยกัน คือ 1.รู้จักเหตุ 2.รู้จักผล 3.รู้จักตน 4.รู้จักประมาณ 5.รู้จักกาล 6.รู้จักบริษัท 7.รู้จักบุคคลประการที่ 1 รู้จักเหตุ หมายถึง รู้เหตุเป็นที่ตั้งที่เกิดของผล ผลดีเป็นความสุขความเจริญ หรือผลไม่ดีเป็นความทุกข์เสื่อม แล้วแต่เหตุ ทำเหตุอย่างไรย่อมได้ผลอย่างนั้น ทุกคนต้องการความสุขความเจริญ ไม่ต้องการความทุกข์ความเสื่อม จึงต้องรู้จักตัวเหตุว่าเหตุนี้เป็นที่ตั้งที่เกิดของผลดีหรือผลไม่ดีก่อน เมื่อรู้ว่าเป็นที่ตั้งที่เกิดผลดีจะได้ทำเหตุเช่นนั้น เมื่อรู้ว่าเป็นที่ตั้งที่เกิดผลไม่ดีจะได้ไม่ทำเหตุเช่นนั้น ความเป็นผู้รู้จักเหตุทำให้เป็นคนรู้ดี รู้ชอบ รู้ถูก รู้ผิด ทำให้เป็นคนพินิจพิเคราะห์ไม่ผลีผลามทำไปตามใจประการที่ 2 รู้จักผล เป็นคู่กับประการที่ 1 คือ เหตุ เพราะฉะนั้นผลจึงสำเร็จมาจากเหตุ เหตุเป็นอย่างไรผลก็เป็นอย่างนั้น เหตุและผลที่ธรรมชาติกำหนดไว้ถูกต้องเสมอ ไม่ต้องตัดเติม ไม่ต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง เหตุและผลที่บุคคลกำหนดไว้ไม่แน่นอนว่าจะถูกต้องตรงกันเสมอไป เพราะคนมีกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง นั่นเอง ประการที่ 3 รู้จักตน คือ รู้ว่าตนของตนเป็นมาอย่างไร แต่เดิมเป็นอย่างไร ตอนนี้เป็นอย่างไร ดีกว่าเดิมหรือเท่าเดิมหรือทรามกว่าเดิม ดีนั้นดีเพราะทำอย่างไร ทรามนั้นทรามอย่างไร ตรวจดูตนของตนอยู่เสมอ ไม่ลืมตัวไม่เผลอตัว เมื่อตรวจดูตนของตนอยู่เสมอจะได้ปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ไม่ดี ส่งเสริมส่วนที่ดี ปฏิบัติตัวให้เหมาะสมแก่ฐานะ เพศ และวัย ประการที่ 4 รู้จักประมาณ คือ รู้กำหนดความสมควร เหมาะสม ถ้าทำผิดเกินกำหนดความเหมาะสมย่อมเกิดความเสียหาย สิ่งที่เป็นประโยชน์แท้ๆ แต่ผิดประมาณไปย่อมเกิดโทษ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีกำหนดความเหมาะสมอยู่ในตัว คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามใจคน ดังนั้น ต้องปฏิบัติตนให้เข้ากับกำหนดความเหมาะสม ไม่ถือตนเป็นประมาณ คนอยู่ด้วยกัน ทำงานร่วมกัน หรือเจรจาเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ต้องถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน จึงจะได้รับผลประโยชน์ที่ดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันประการที่ 5 รู้จักกาล ให้การงานกับเวลาสัมพันธ์กัน เวลาใดควรทำสิ่งใดอย่างใด เวลานั้นก็ควรทำสิ่งนั้นอย่างนั้น ทำให้ทันท่วงที มีเหตุการณ์ขัดข้องก็จัดการแก้ไข หรือมีผลประโยชน์เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ก็ถือเอาผลประโยชน์ได้ในทันทีทันใด ไม่ชักช้าหรือไม่รีบด่วนเร่งร้อนกว่าเวลาอันสมควร ประการที่ 6 รู้จักบริษัท คือ รู้จักหมู่ชนว่าเป็นคนชนิดไหน ติดต่อร่วมงานกับหมู่ชนนี้จะให้คุณหรือเป็นโทษ ยึดถือเอาความเห็นของหมู่ชนเป็นประมาณ และปฏิบัติตนให้เข้ากับคนทั้งหลายได้ในฐานะเป็นผู้ปกครอง รวมถึงรู้จิตใจความเป็นไปของหมู่ชนในปกครองของตน จึงบริหารการปกครองได้อย่างถูกต้องประการที่ 7 รู้จักชนิดของบุคคล คือ รู้ว่าคนพาลไม่ควรคบ ควรคบหาสมาคมกับบัณฑิต วางใจในคนที่เป็นมิตร ป้องกันภัยจากคนที่เป็นศัตรู กตัญญูกตเวทีต่อผู้มีคุณแก่ตน ยกย่องคนที่ทำประโยชน์แก่บ้านเมือง ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ในการงาน คนใดมีความรู้เชี่ยวชาญ สามารถในทางไหน ก็ให้คนนั้นปฏิบัติงานตามความรู้ความชำนาญของเขาธรรมของคนดีแต่ละข้อเป็นเหตุให้เกิดความสุขความเจริญ เมื่อปฏิบัติได้ครบทั้ง 7 ข้อก็เป็นเหตุให้มีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้น ผู้มีปัญญาพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่า ธรรมของคนดีนี้ใช้ได้ทุกสมัย ไม่ล้าสมัยสักข้อเดียว เพราะฉะนั้นผู้หวังความสุขความเจริญแก่ตนพึงปฏิบัติตามธรรมของคนดีดังกล่าวมา สมด้วยพระคาถาพุทธภาษิตว่า "ธรรมของคนดี ย่อมไม่เข้าถึงความเสื่อมโทรม" คือ ไม่ล้าสมัย ทันสมัยเสมอ

ปลาทู 2 ตัว จาก มติชน

แพทย์เผยกิน "ปลาทู 2 ตัว" ชะลอ "ความแก่" ปลอดโรครุมเร้า เรื่องเร่งด่วนที่ไม่ควรมองข้าม
แพทย์เชี่ยวชาญอายุรวัฒน์นานาชาติแนะ 3 วิธีง่ายๆ ช่วยคนไทยลดสังขารเสื่อมก่อนวัย อย่านอนดึก เลี่ยงแป้งน้ำตาลคุมน้ำหนัก กินผักใบเขียววันละ 5 กำมือ ปลาทู 2 ตัว มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซิตอัพวันละ 30 ครั้ง ฝึกหายใจลึกช่วยสติดีขึ้นชะลอแก่เร็ว
กรณีนายสำอาง สืบสมาน หัวหน้าโครงการวิจัยสุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เปิดเผยผลงานวิจัยคนไทยประสบปัญหาภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควร สาเหตุจากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจเพิ่มขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมในการบริโภคที่เสี่ยง ขณะที่ชายไทยฮิตเป็นโรคความดันโลหิตและโรคตับ ส่วนหญิงเป็นโรคคอพอกและหืดหอบนั้น
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ (International Anti-Aging Institute: IAAI) กล่าวว่า การเข้าสู่ภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควรกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะนำไปสู่สังคมผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น มีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ
"สาเหตุของภาวะเสื่อมสังขาร แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย คือ 1.ปัจจัยภายในที่เกิดจากการสะสมของความเครียด ยิ่งขณะนี้ปัญหาการเมืองรุมเร้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ ยิ่งทำให้คนไทยมีภาวะเครียดสูงขึ้น การก้าวสู่ภาวะแก่ก่อนวัยจึงไม่ใช่เรื่องแปลก นอกจากนี้ ปัญหาความเครียดจะพบมากในคนเมืองหลวง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพราะเป็นเมืองที่มีแต่การแข่งขัน มลภาวะสูง และ 2.ปัจจัยภายนอก สภาพแวดล้อม มลภาวะเป็นพิษต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมการบริโภค ที่ส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล กาแฟ จะมีสารที่ทำให้แก่สูงหรือที่เรียกว่า สารอนุมูลอิสระ
"พฤติกรรมการนอนหลับยังทำให้คนไทยแก่เร็วด้วย เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมนอนช่วงเวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป ทั้งๆ ที่เวลาที่ควรนอนหลับพักผ่อนมากที่สุด คือ ช่วง 4 ทุ่ม และตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า เพราะเป็นช่วงที่ธาตุหนุ่มสาวหรือ โกรท ฮอร์โมน (growth hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโตจะหลั่งออกมามากที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หากเรานอนหลับหลังจากนั้นก็จะลดการหลั่งของธาตุหนุ่มสาว สังเกตได้ว่าคนกรุงจะแก่เร็วมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะนอนดึกๆ กัน แต่หากลองมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนเสียใหม่ แค่เพียง 1 สัปดาห์ ก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นทันที"
นพ.กฤษดากล่าวว่า สำหรับวิธีชะลอความเสื่อมของสังขารนั้นไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยใช้วิธีง่ายๆ ที่เรียกว่า 3 H ประกอบด้วย 1.Healthy Weight รู้จักควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้อ้วน โดยการเลี่ยงแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะในอาหารจำพวกขนมปัง เค้ก เบเกอรี่ ส่วนน้ำตาล หลายคนหันมาบริโภคสารให้ความหวานแทน ซึ่งสารเหล่านี้ข้อควรระวังคือ ไม่ควรนำมาประกอบอาหาร หรือถูกความร้อนสูงๆ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นทั้งในและต่างประเทศระบุว่า เมื่อสารให้ความหวาน ประเภทน้ำตาลเทียมได้รับความร้อนสูงๆ อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งได้ ดังนั้น การจะบริโภคน้ำตาลเทียมควรเลือกสารให้ความหวานที่ผลิตจากธรรมชาติ อาทิ ชะเอมเทศ หรือหญ้าหวาน เป็นต้น
"2.Healthy diet and Lifestyle บริโภคผักใบเขียวโดยควรบริโภคประมาณวันละ 5 กำมือ และปลาทูอีก 2 ตัว อาหารเหล่านี้จะมีสารอาหารที่ช่วยต้านพวกสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรืออนุมูลอิสระได้ และควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และ 3.Healthy Mind คือต้องมีกำลังใจที่ดี มีจิตและสมาธิอยู่กับปัจจุบัน โดยให้ฝึกหายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องป่อง และกลั้นหายใจสัก 4 วินาที จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกจะช่วยให้มีสติดีขึ้น"
นพ.กฤษดากล่าวว่า ที่สำคัญควรรู้จักฝึกการใช้สมอง 2 ซีกอย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่ใช้สมองเพียงซีกเดียวจะทำให้เกิดความเสื่อมตามมา หากเราถนัดมือขวาก็แสดงว่า สมองซีกซ้ายเราเด่น เราต้องทำให้สมองซีกขวาเด่นด้วย โดยการฝึกใช้มือซ้าย หรือให้ฝึกการใช้สัมผัสอื่นๆ ที่เราไม่ถนัด นอกจากนี้การที่เรารู้สึกหิวนิดๆ ก็จะทำให้โกรทฮอร์โมนหลั่งออกมามากด้วย เพราะเมื่อร่างกายเริ่มหิวจะสั่งไปที่สมองให้หลั่งสารให้สมองรู้สึกโล่ง จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น การที่รู้สึกดีก็จะทำให้จิตใจดีช่วยชะลอความแก่ไปในตัว
"ที่สำคัญการออกกำลังกายจะช่วยได้มากในเรื่องนี้ ยิ่งการซิตอัพจะทำให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนขึ้น เพราะจะทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ดังนั้น ในแต่ละวันควรซิตอัพอย่างน้อย 30 ครั้ง" นพ.กฤษดา กล่าว และว่า ปัจจุบันคนทำงานนิยมดื่มกาแฟกันมาก ทั้งๆ ที่กาแฟเป็นตัวทำลายความอ่อนเยาว์ แต่จะให้เลิกกาแฟคงยาก ดังนั้น ไม่ควรทานกาแฟเกินวันละ 1 แก้ว หรือควรทานกาแฟเพียงวันละ 2 ช้อนชาก็เพียงพอ ที่สำคัญอย่าลืมว่า กาแฟยิ่งร้อนเท่าไหร่ก็จะยิ่งเพิ่มความเข้มข้นให้กับคาเฟอีนซึ่งเป็นตัวอนุมูลอิสระที่สำคัญ

วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ทราบหรือไม่ว่าพาราเซตามอล จาก มติชน

ทราบหรือไม่ว่าพาราเซตามอลชนิดฉีดที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยนั้นเป็นยาที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดีย มีใช้กันเพียงไม่กี่ประเทศทั่วโลก คือ อินเดีย เนปาล ฟิลิปปินส์ ยูกันดา และสาธารณรัฐจอร์เจีย เป็นยาที่ผลิตขึ้นโดยสูตรตำรับที่ไม่ปรากฏในตำรับยา (ฟาร์มาโคเพีย) 

พาราเซตามอลชนิดกินเป็นยาที่ถูกดูดซึมจากทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็วและค่อนข้างสมบูรณ์ โดยออกฤทธิ์บรรเทาปวดได้ภายใน 30 นาที ในขณะที่พาราเซตามอลชนิดฉีดไม่มีข้อมูลว่าดูดซึมจากตำแหน่งที่ฉีดยาได้มากน้อยเพียงใด และออกฤทธิ์ได้ภายในกี่นาที

ยาชนิดฉีดเป็นยาที่นำพาราเซตามอลมาละลายในน้ำมัน โดยมีตัวยา 300 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร และมียาชา (ลิโดเคน) 20 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร เป็นส่วนประกอบ เนื่องจากการฉีดยาชนิดที่ละลายในน้ำมันเข้ากล้ามเนื้อจะทำให้ปวดบริเวณที่ฉีด ขนาดยาที่ใช้คือฉีดครั้งละ 1-2 มิลลิลิตร

เนื่องจากยากินถูกดูดซึมจากกระเพาะอาหารได้ร้อยละ 60-98 ผู้ป่วยที่กินพาราเซตามอลครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม (500 มิลลิกรัม 2 เม็ด) จะดูดซึมยาไปใช้ได้ระหว่าง 600-980 มิลลิกรัม ในขณะที่ผู้ป่วยจะได้รับยาไม่เกิน 600 มิลลิกรัม จากการฉีดยา ดังนั้น ผู้ป่วยที่กินพาราเซตามอลจะได้ยาเข้าสู่ร่างกายมากกว่าการฉีดยาอย่างแน่นอน

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

หึ่งซื้อเสียงเลือกนายกอำนาจเจริญ หวั่นได้เหลือง-แดง-กาบัตรรอบ3

วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11160 มติชนรายวัน
หึ่งซื้อเสียงเลือกนายกอำนาจเจริญ หวั่นได้เหลือง-แดง-กาบัตรรอบ3

นา ยโสนิ สุวรรณี อดีต ส.จ.อำนาจเจริญ เปิดเผยว่า ในวันที่ 28 กันยายน มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ครั่งที่ 2 ตามคำสั่งของศาลอุทรณ์ ภาค 3 ภายหลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ใบเหลืองในการเลือกตั้งครั้งแรก เนื่องจากมีการซื้อเสียง ล่าสุด การเลือกตั้งครั้งนี้ พบว่า มีการแจกเงินซื้อเสียงอีกหัวละ 200 บาท โดยแจกอย่างเปิดเผย หากได้ใบเหลืองหรือใบแดงอีก เชื่อว่าประชาชนคงไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งต่อไปอย่างแน่นอน จึงขอให้ กกต.จับผิดผู้ซื้อเสียงแล้วแห่ประจานให้เข็ดหลาบ

นายสมภพ สังข์สุวรรณ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ กล่าวว่า มีข่าวการซื้อเสียงหัวละ 200 บาท ซึ่ง กกต.ตั้งคณะตรวจสอบลงพื้นที่หาหลักฐานแล้ว หากมีหลักฐานชัดเจน ตนก็เสียใจด้วยที่อาจมีการเลือกตั้งใหม่ ครั้งที่ 3

"หากมีครั้งที่ 3 ประชาชนคงเซ็งแน่นอน จึงวอนผู้สมัครอย่าคิดซื้อเสียงอีกเลย จะทำให้ประชาชนเบื่อการเลือกตั้งเสียก่อน" (กรอบบ่าย)

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

คิดเป็นทำเป็นตามแนวพุทธธรรม จาก มติชน

วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11152 มติชนรายวัน
คิดเป็นทำเป็นตามแนวพุทธธรรม 7 คิดแบบคุณโทษและทางออก

คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


วันนี้ขอพูดถึงวิธีคิดอีกแบบหนึ่ง เรียกว่า "คิดแบบคุณโทษและทางออก" เป็นวิธีคิดแก้ปัญหาได้ดีอย่างหนึ่ง เพราะในกระบวนการคิดเช่นนี้ บุคคลจะได้ฝึกเป็นคนมองอะไรกว้างรอบด้าน และเห็นทางออกอันเป็นแนวปฏิบัติชัดเจน ไม่ตันว่าอย่างนั้นเถอะ

การให้การศึกษาอบรมตั้งแต่เด็กก็สำคัญ ถ้าพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ไม่เปิดโอกาสหรือไม่แนะให้เด็กรู้คิด คิดหลายๆ ทางแล้ว โอกาสที่จะพัฒนาการคิดแบบคุณโทษและทางออกค่อนข้างจะยาก

สมัยยังเด็ก (ความจริงไม่เด็กแล้วล่ะ) เรียนวรรณคดีไทย ผู้รู้ท่านได้กำหนดให้เรียนสิ่งที่เรียกว่า "วรรณคดี" ครูบาอาจารย์ก็เอาหนังสือที่เขากำหนดมาให้เรียนนั้นมาสอนว่า หนังสือเรื่องนี้ดีอย่างไร เพราะอย่างไร ให้คติแง่คิดอย่างไร คนแต่งแต่งเก่งอย่างไร ล้วนแต่ดีๆ ทั้งนั้น เพราะว่าเป็นหนังสือ "วรรณคดี"

"วรรณคดี" ท่านให้คำจำกัดความว่า หนังสือที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดี เรียกว่าวรรณคดี ถ้าเป็นหนังสืออื่นที่ไม่ได้รับยกย่องตัดสินว่าแต่งดี ก็ไม่นับเป็นวรรณคดี ดูเหมือนจะเรียกรวมๆ ว่า "วรรณกรรม" อะไรทำนองนั้น

มีใครถาม หรือมีคนถาม แล้วมีใครตอบบ้างไหมว่า ที่ว่าแต่งดีนั้นใครเป็นคนกำหนด คำตอบก็คือ ผู้ทรงคุณวุฒิกลุ่มหนึ่ง (บางทีอาจจะเป็นคนเดียวด้วยซ้ำ) เห็นว่าหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้แต่งดี ความเห็นของท่านกำหนดให้คนอื่นๆ เห็นตามตนและบังคับให้เรียน

ถามต่อไปว่า สิ่งที่ผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่าดีนั้น คนอื่นมีสิทธิเห็นแย้งบ้างไหมว่า ยังไม่ดีหรือดีไม่ถึงขนาด นั่นสิครับ น่าสงสัย

ถามต่อว่าจะให้มองเห็นแต่สิ่งดีๆ เท่านั้นหรือ

มันน่าสงสัยว่าการ "ผูกขาด" ความคิดความอ่าน "ผูกขาด" การมองการตัดสินใจอย่างนี้มันดีหรือเปล่า ถ้าตอบตามหลักการของพระพุทธศาสนานั้น ไม่ดีแน่ เพราะมิใช่แนวทางพัฒนาความคิดอ่านหรือพัฒนาสติปัญญาที่ถูกต้อง

แต่สังคมไทยก็มักจะยึดวิธีการให้การศึกษาแก่เด็กๆ แบบนี้ ทำกันมาตั้งแต่พอรู้เดียงสากันเลยทีเดียว เข้าโรงเรียนประชาบาล ก็ให้อ่านนิทานอีสป มันก็สนุกดีดอก

แต่พอตอนจบก็จะบอกว่า "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า" กำหนดให้รู้ตามนั้นอย่างเดียวไม่เปิดโอกาสให้เด็กคิดบ้างว่า มันสอนอย่างอื่นได้ไหม

ถามผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ท่านก็ว่าไม่ได้ดอก เด็กมันคิดไม่เป็น ถึงคิดออกมาก็ไม่เข้าท่า ให้ผู้ใหญ่คิดแทนเด็กน่ะดีแล้ว จะได้ไม่นอกลู่นอกทาง จริงหรือเปล่าครับ ที่ว่าเด็กน่ะคิดไม่เป็น สู้ผู้ใหญ่ไม่ได้ ถ้าสังเกตลูกหลานตัวเล็กๆ ของท่านดูจะรู้ว่าลูกหลานตัวน้อยๆ ของท่านนั้นมีวิธีคิดที่เฉียบคม มิใช่น้อย ถ้าได้รับการเอาใจใส่ประคับประคองส่งเสริมจากผู้ใหญ่ เด็กๆ เหล่านั้นจะโตมาพร้อมกับความเฉลียวฉลาดที่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดาย สังคมไทยได้สกัดกั้นทางแห่งสติปัญญาของเด็กเสียหมด

เด็กจะคิดอะไรนอกเหนือจากที่ผู้ใหญ่คิดก็ถูกตวาด ห้ามคิด ห้ามพูด "แหกคอก" ห้ามซักโน่นถามนี่ ในที่สุดเด็กมันก็เลยไม่คิด ไม่ซัก ไม่ถาม โตมาก็เลยเป็นผู้ใหญ่ที่ซื่อบื้อ คิดอะไรก็ไม่เป็น ดังเห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบัน

ผมมีเรื่องเล่าสองเรื่อง เรื่องแรกสั้นๆ พ่อกับลูกขับรถผ่านไปยังหมู่บ้านนอกเมืองแห่งหนึ่ง เห็นชาวบ้านกำลังโค่นต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ ลูกชายถามพ่อว่า "เขาตัดต้นไม้ทำไมพ่อ" พ่อตอบว่าคงเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์มั้งลูก

"ลูกว่าไม่น่าจะใช่" ลูกชายขัดคอ

"หรือไม่ก็เอาไปเลื่อยทำรั้ว ทำคอกหมูคอกม้าอะไรก็ได้" พ่อตอบ เสียงชักบ่งความรำคาญที่จะตอบ

"ไม่ใช่อีกนั่นแหละ" ลูกว่า

คราวนี้พ่อชักโมโหย้อนถามว่า "มึงรู้แล้วถามหาหอกอะไร เขาตัดไปทำไมวะ"

ลูกชายตอบเสียงดังฟังชัดว่า "ตัดให้ขาดสิพ่อ"

คำพูดของลูกชายทำให้พ่ออึ้ง เออ จริงสินะ เขาตัดไม้ทำไม ก็ต้องตัดให้มันขาด ส่วนตัดขาดแล้วจะเอาไปทำอะไรต่อนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง

นี้แหละครับ เป็นเครื่องชี้บ่งว่า เด็กๆ นั้นบางครั้งก็มีความคิดที่เฉียบคมอย่างยิ่ง จนผู้ใหญ่คิดไม่ถึง

จากเรื่องนี้ ถ้าเรารู้จักคิด เราก็นำเอามาคิดต่อ เอามาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตได้ ปัญหาสารพัดในโลกเรานี้ที่มันแก้ไม่ค่อยตก แก้ไม่ได้ บางทียิ่งแก้ยิ่งยุ่งนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการไม่รู้จักว่าจริงๆ แล้วมันคืออะไร เมื่อไม่รู้ว่ามันคืออะไรจริงๆ ก็แก้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านว่า ขั้นแรกก็ต้องรู้จักทุกข์ให้แน่ชัดเสียก่อนจึงจะแก้ทุกข์ได้ แปลไทยเป็นไทยก็คือ ต้องรู้จักปัญหาให้ชัด (รู้สภาพปัญหาและต้นตอของปัญหาด้วย) จึงจะแก้ปัญหาได้

เรื่องที่สองเคยเล่าไว้ในที่อื่นแล้ว เล่าอีกครั้งคงไม่ว่ากัน ขงจื๊อขับรถม้าผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง พบเด็กกำลังเล่นทรายอยู่หลายคน จึงร้องบอกให้หลีกรถ เด็กๆ ต่างวิ่งหนีด้วยความกลัว เหลือเด็กน้อยคนหนึ่งไม่หนีเหมือนเพื่อนๆ กลับยืนเอามือเท้าสะเอว จ้องขงจื๊อ นักปราชญ์เฒ่าตวาดว่า "เจ้าเด็กน้อย ทำไมยังไม่หลีกรถอีก" เด็กน้อยตอบว่า "พวกผมกำลังสร้างกำแพงเมือง ไม่เคยเห็นกำแพงเมืองที่ไหนมันหลีกรถได้"

ขงจื๊อนึกชมวาทะอันเฉียบคมของเด็กน้อย จึงลงรถมาคุยด้วย ชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน จะพาปกครองบ้านเมืองให้ "ราบเป็นหน้ากลอง" (ความหมายก็คือ ปกครองโดยยุติธรรม ประชาชนจะได้มีความสงบสุขทั่วหน้า) เด็กน้อยแย้งว่า เป็นไปไม่ได้ ถ้าโลกมันราบเป็นหน้ากลองน้ำก็ท่วมโลก คนและสัตว์จะจมน้ำตายหมด ขงจื๊ออึ้ง ไม่นึกว่าเด็กน้อยตัวแค่นี้จะมีวาทะคารมคมคายขนาดนี้

เมื่อเห็นผู้เฒ่านิ่งเด็กน้อยจึงถามว่า "ในทะเลมีปลากี่ตัว บนฟ้ามีดาวกี่ดวง" "ถามอะไรไกลหูไกลตานัก หลานเอ๋ยถามใกล้ๆ หน่อยสิ" ผู้เฒ่าบอก พลันเด็กน้อยชี้หน้าท่านผู้เฒ่า ถามว่า "ถ้าอย่างนั้น ขนคิ้วท่านมีกี่เส้น" ครับ ใกล้หูใกล้ตาที่สุดแล้ว ตกลงผู้เฒ่าตอบไม่ได้ จึงถอดหมวกคำนับเด็กน้อย สั่งให้รถม้าหลีก "กำแพงเมือง" ของเด็กน้อยไป

ใครว่าเด็กๆ มันคิดอะไรไม่เป็น เด็กๆ ลูกหลานเรานี้แหละมี "แวว" ฉลาดมาแต่ต้นแล้ว หากแต่ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรจะเป็นเท่านั้น โตมาแล้ว "แวว" นั้นก็เลยฝ่อไปเลย เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักคิด หรือคิดไม่เป็นหลายต่อหลายคน กลายเป็นคน "สิ้นคิด" ไปก็มี

ตามปกติ คนเรามักคิดอะไรทางเดียว อย่างเก่งก็คิดแค่สองทางคือ ทางบวก กับทางลบ ใครคิดทางไหนก็ยึดอยู่แต่ทางนั้น ว่าตนเท่านั้นคิดถูก คนอื่นที่คิดไม่เหมือนตนผิด ตราบใดที่ไม่คิดเห็นแนวทางที่สาม ที่สี่ ที่ห้าแล้ว ไม่แคล้วต้องทะเลาะขัดแย้งกันอยู่ชั่วนิรันดร

ยกตัวอย่างเรื่องพื้นๆ ที่เห็นกันอยู่ชนบทห่างไกล เมื่อราชการตัดถนนผ่าน มีน้ำ มีไฟฟ้า การคมนาคมสะดวกสบาย มีสินค้าบริโภคใหม่ๆ แปลกๆ เข้ามาเสนอขายมากมาย ชีวิตของชาวชนบทได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมากมาย ถ้ามองในแง่บวกหรือด้านดีจะเห็นว่าหมู่บ้านชนบทแห่งนี้เจริญขึ้น พัฒนาขึ้น สิ่งที่ไม่เคยมีก็มี ถนนหนทางที่ทันสมัย มีน้ำประปา ไฟฟ้า มีตึกรามใหญ่ๆ มีโรงงานอุตสาหกรรม ชาวบ้านมีงานทำเพิ่มขึ้น เช่น ไปใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมนั้น

ถ้ามองในแง่ลบหรือด้านเสียก็จะเห็นว่า ถ้าคำว่า "เจริญ" หรือ "พัฒนา" หมายถึงการมีเครื่องอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว ก็น่าที่จะเรียกว่าเจริญหรือพัฒนาจริง แต่ท่ามกลางการเข้ามาของวัตถุอำนวยความสะดวกเหล่านี้ ความ "ดีงาม" ที่เคยมีได้เลือนหายไป เช่น บรรยากาศที่สงบไม่อึกทึก พลุกพล่าน

-ไมตรีจิตมิตรภาพฉันเพื่อนบ้านที่ขอกันกินได้ หรือแลกของกันกินได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงินตราซื้อขาย

-การมีของอำนวยความสะดวกน้อย แต่ไม่มีหนี้สินด้วยการไปกู้สหกรณ์ เพื่อซื้อวัตถุอำนวยความสะดวกมาแข่งขันกัน

-ความพอใจในสภาพความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย แทนความฟุ่มเฟือยหรูหรา ตามแบบอย่างชาวเมือง

-การเห็นคุณค่าวัฒนธรรมพื้นบ้าน ที่เป็นมรดกมาแต่ปางบรรพ์ แทนการนำเอาวัฒนธรรมสมัยใหม่เข้ามา แล้วดูหมิ่นวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ หายไปพร้อมกับการเข้ามาของการพัฒนาสมัยใหม่

คนที่มองแต่แง่บวกก็จะเห็นแต่ความดีงามของการพัฒนาแบบใหม่ คนที่มองแต่แง่ลบก็จะเห็นแต่ความเลวร้ายของการพัฒนาแบบใหม่ แต่ถ้าพิจารณาผลดี ผลเสียทั้งสองด้านแล้วอาจจะได้ทางออกว่าเราควรจะทำตัวอย่างไรต่อเรื่องนี้ ทางออกที่ได้ เช่น

1) เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดกั้นกระแสการพัฒนาทางวัตถุหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ สิ่งเหล่านี้สักวันหนึ่งก็จะไหลบ่าเข้าไปยังท้องที่ห่างไกล

2) จำเป็นต้องยอมรับให้มีการพัฒนาทางวัตถุ ยอมรับการไหลบ่าเข้ามาแห่งวัฒนธรรมที่แตกต่างจากวัฒนธรรมพื้นถิ่นดั้งเดิม

3) แต่ควรรับด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยการรู้ทัน รู้จักเลือกรับเฉพาะสิ่งที่ดีไม่เกิดโทษแก่ตนและท้องถิ่นของตน หรือปรับให้เข้ากับพื้นฐานของตนโดยไม่เสียความเป็นตัวของตัวเอง

เป็นธรรม จาก มติชน

เป็นธรรม-เป็นสุข

คอลัมน์ แท็งก์ความคิด

โดย นฤตย์ เสกธีระ



ไม่รู้เป็นยังไงครับ ชีวิตช่วงนี้โคจรไม่พ้น "เอสซีจี"

คราวที่แล้วไปดูงาน "ฝายชะลอน้ำ" ที่ปูนซิเมนต์ไทย ลำปาง 

อีกสองสัปดาห์ต่อมาเจอตัวจริงเสียงจริง คุณกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่เครือเอสซีจี

คุณกานต์มาให้ความรู้เรื่อง "ธรรมาภิบาลภายในองค์กร" เพราะเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นองค์กรที่คุณกานต์เป็นลูกหม้อทำงานมาตั้งแต่เรียนจบ

เป็นองค์กรที่ได้ชื่อว่ามี "ธรรมาภิบาล"

ระหว่างการบรรยายมีคนสอบถามด้วยข้อข้องใจหลายเรื่อง แต่สิ่งที่ฟังแล้วน่าจดจำก็คือหัวใจในการบริหารงานของเอสซีจี

คุณกานต์บอกว่า ตั้งแต่ทำงานที่เครือซิเมนต์ไทยมาจนเป็นเอสซีจีในขณะนี้ 

ความแข็งแกร่งของการบริหารงานที่นั่นคือ "ความเป็นธรรม" 

"ความเป็นธรรม" นี่เองที่ทำให้ "ลูกน้อง" ไว้ใจ "เจ้านาย" และ "ลูกจ้าง" ไว้ใจบริษัท

และ "ความเป็นธรรม" อีกนั่นแหละที่เป็นหนึ่งใน 3 หลักแห่งธรรมาภิบาล

เป็นธรรม-โปร่งใส-มีความรับผิดชอบ

เห็นไหมครับว่า ความเป็นธรรมนั้นมีความสำคัญ

และมีความสัมพันธ์กับระดับความสุขของคนด้วย

ยกตัวอย่างที่เมืองจีนกันดีกว่า

เดิมทีคนจีนเขามีระบบคูปองอาหาร 

ทุกคนต้องทำงาน ทำงานเสร็จแล้วก็เอาคูปองที่ได้รับแจกตามสัดส่วนไปกินอาหาร

ไม่แบ่งแยกชั้นวรรณะ

สังคมจีนตอนนั้นลำบากลำบนมากครับ

แต่ทุกคนได้อยู่ได้กินเหมือนๆ กัน และชินชาต่อความยากลำบาก

ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้พัฒนาประเทศ 

บางเมืองเปิดประเทศ นำเอาวิธีดำเนินชีวิตแบบตะวันตกมาใช้

แทนที่จะใช้คูปองแลกข้าว เปลี่ยนมาใช้เงินซื้อหาของกินตามระบบทุนนิยม

ดูเหมือนดีใช่ไหมครับ

แต่เขาพบว่าการนำระบบทุนนิยมมาใช้ ทำให้เกิดชนชั้นขึ้นในสังคม

คนจีนเริ่มกินอาหารไม่เหมือนกัน

คนมีรายได้น้อยแต่ทำงานหนัก เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

เมื่อรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้ความสุขทางกายจะดีขึ้น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะสูงปรี๊ด

แต่ความสุขทางใจกลับลดน้อยถอยลง 

นี่คืออิทธิพลของ "ความเป็นธรรม"

มิน่าล่ะคุณกานต์ บิ๊กบอสแห่งเอสซีจี จึงบอกว่า "ความเป็นธรรม" คือหัวใจของการบริหารที่นั่น

แล้วความเป็นธรรมคืออะไร?

คำตอบมีอยู่ใน "มงคลที่ 16" เรื่อง "ประพฤติธรรม" ครับ

ในมงคลที่ 16 พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ประพฤติธรรม 

หมายถึงปฏิบัติในสิ่งดีทั้งกาย วาจา และใจ

ต่อมามีผู้ขยายความเรื่องความประพฤติว่า นอกจากจะประพฤติธรรมแล้วต้อง "ประพฤติเป็นธรรม" ด้วย

ประพฤติเป็นธรรม คือ การกระทำที่ถูกต้อง ชอบด้วยเหตุผล และไม่มีอคติ รัก ชัง หลง กลัว

ตีความตามประสาซื่อ "การกระทำที่ถูกต้อง" คือ กระทำตามข้อตกลงของสังคมส่วนใหญ่

หรือการปฏิบัติตามครรลองแห่งขนบ ธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม กฎหมาย หรืออื่นๆ ที่เป็นข้อตกลง

ชอบด้วยเหตุผล คือ มีเหตุที่จะต้องกระทำสิ่งนี้ 

เช่น ชมเชยเพราะเขาทำดี หรือตักเตือนเพราะเขาบกพร่อง

ส่วน "ไร้อคติ" นั้น หมายถึง การกระทำต้องเท่าเทียมกัน

เมื่อคนเราไม่มีความเหลื่อมล้ำ ทุกอย่างดำเนินไปตามข้อตกลง

อะไรควรได้ก็ได้ อะไรควรเสียก็ต้องเสีย

ที่สุดความสุขสงบก็เกิดขึ้น

มาถึงตรงจุดนี้ พอจะเห็นแล้วยังครับว่า สังคมไทยทุกวันนี้มันทุกข์ร้อนกันเพราะอะไร

เพราะการกระทำที่ไม่ทำตามข้อตกลง 

เพราะการกระทำที่ไม่มีเหตุผล 

และเพราะการกระทำที่มีอคติ

ทำให้เกิดความเลื่อมล้ำ เอารัดเอาเปรียบ

เกิดเป็นความไม่เป็นธรรมขึ้น 

เห็นไหมครับว่า ความไม่เป็นธรรมไม่ได้เกิดแต่เฉพาะผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครองเท่านั้น

ความไม่เป็นธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ทุกระดับและทุกสถานที่

ความไม่เป็นธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกครอบครัว ทุกชุมชน อำเภอ จังหวัด และประเทศ

ความไม่เป็นธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ทุกกาลเวลา

ความไม่เป็นธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกชนชั้น

เพียงแค่คนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง กระทำการที่ไร้เหตุผล และมีอคติ

ผู้ที่อยู่รอบข้างคนคนนั้น จะเกิดความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมขึ้นมา 

ใครที่มีความรู้สึกอย่างนี้ก็เป็นทุกข์ล่ะครับ

พอเป็นทุกข์ก็ต้องดิ้นรนให้หลุดพ้น 

อาการดิ้นรนต่อสู้ความไม่เป็นธรรมนี่แหละครับที่ทำให้ความทุกข์ขยายไปเรื่อยๆ

ขยายจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง 

ขยายจากหนึ่งคนไปสู่หลายคน

อย่างม็อบที่เกิดขึ้นและเรียกร้องกันอยู่ทั่วโลกนี่ก็เหมือนกัน 

ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากเรื่อง "เป็นธรรม-ไม่เป็นธรรม" ทั้งนั้น

ดังนั้น หากใครอยากอยู่เย็นเป็นสุข

กลับมาสำรวจตัวเองเสียหน่อยว่า ทำตามข้อตกลง ทำอย่างมีเหตุมีผล และทำโดยไร้อคติ กันหรือเปล่า

ถ้ากระทำอยู่ก็เข้าข่าย "เป็นธรรม"

ถ้าบิดเบี้ยวก็เข้าข่าย "ไม่เป็นธรรม"

ใคร องค์กรไหน ประเทศใด อยากมีสุขก็ต้อง "ประพฤติเป็นธรรม" 

แต่หากใคร องค์กรไหน ประเทศใด บิดเบี้ยว ผิดเพี้ยนจากความเป็นธรรม

ก็เท่ากับลบ "ความสุข" ออกไปจากชีวิตอย่างน่าเสียดาย

สวัสดี

วงจรอุบาทว์ จาก มติชน

วงจรอุบาทว์ที่แท้จริง

คอลัมน์ วัยทวีนส์

โดย เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล




"จริงอยู่ครับที่สังคมการเมืองไทยนั้นได้มีการปรับรูปโฉม และปรับเปลี่ยนมาโดยตลอด แต่แก่นแท้ของระบบการเมืองนั้นยังคงหนีไม่พ้นประเด็นเน่าๆ ซึ่งก็คือเรื่องของการยึดครองอำนาจ และหากินกับเงินทองของประชาชน" 

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยึดอำนาจโดยทหารในอดีต หรือการออกมาเรียกร้องสิทธิของประชาชนด้วยกลุ่มนักศึกษา และกลุ่มคนชนชั้นกลางที่ได้อำนาจคืนมาจากทหารในปี พ.ศ.2516 

จนกระทั่งเกือบ 8-9 ปีที่ผ่านมานั้นรูปแบบการเมืองได้มีการพลิกผันด้วยการมีกลุ่มนายทุนเข้ามาบริหารประเทศชาติ เกิดการก่อตั้งพรรคไทยรักไทยที่ได้รับชัยชนะอย่างล้นหลามในปี พ.ศ.2543 จนเป็นที่มาของแง่คิดระบอบการปกครองเชิง "ธนาธิปไตย" คือการที่กลุ่มนายทุนเข้ามาบริหารบ้านเมือง บ้างก็หากินจากความเดือดร้อนของผู้คนด้วยการแสวงหาสิทธิพิเศษและโครงการต่างๆ จากภาครัฐ โดยนำนโยบายประชานิยมมาเป็นฐานคะแนนเสียงอีกทีหนึ่ง ทำให้สังคมไทยเกิดการแบ่งแยกออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มรากหญ้า และกลุ่มชนชั้นกลาง 

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกระหว่างคนไทยด้วยกัน จนทำให้เกิดปัญหาบานปลายมาถึงวันนี้ 

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยตลอดระยะเวลา 40-50 ปีที่ผ่านมา ประเด็นด้าน "ประชาธิปไตย" กลับกลายเป็นพื้นฐานแห่งการขัดแย้งทางสังคมมาโดยตลอด 

"ความขัดแย้งนี้สามารถอธิบายในเชิงหลักการได้ว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้วนั้น คือความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งผู้คนสามารถแสดงความคิดเห็น มีเสรีภาพในการพูดและคิด โต้วาทีเพื่อสังคมที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น" 

สิ่งนี้ถือว่าเป็นความคิดเชิงการเมือง เชิงอุดมการณ์ที่ยึดแนวคิดเสรี และเน้นเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก แต่ปัญหาอยู่ที่ "วัฒนธรรมการเมืองไทย" ทั้งทางภาครัฐและภาคประชาชน กล่าวคือนำความขัดแย้งทางความคิดไปใช้ในทางที่ผิด 

ผมขอเรียนตามตรงเลยครับว่า ในมุมมองของคนรุ่นใหม่แล้วนั้น 

""การเมืองที่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้คนในสังคมไม่ใช่การเมืองที่แท้จริง" แต่เป็นการเมืองที่นำความขัดแย้งทางความคิดไปสู่ความรุนแรงด้วยการยั่วยุ เพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มที่อ้างว่าทำเพื่อประชาชน เพื่อประชาธิปไตย" 

โดยสร้างความศรัทธาและความเชื่อมั่นจากภาพลักษณ์ และอุดมการณ์ที่ดูเหมือนจะดี แต่สุดท้ายกลับนำความศรัทธาของผู้คนมาเป็นเกราะกำบัง มาเป็นอาวุธทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้สังคมไทยในวันนี้เกิดความรุนแรงทางความคิด และทางปฏิบัติ และสุดท้ายกลายเป็นสังคมที่แตกอย่างเป็นเสี่ยงๆ ในวันนี้ 

"ประชาธิปไตยไม่ใช่การแบ่งพรรคแบ่งพวก ตีกันจนบาดเจ็บล้มตายไปตามๆ กัน ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน"

พวกเราได้แต่คาดหวังไว้ว่าการเมืองในอนาคตจะสดใสมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าแก่นแท้ยังหนีไม่พ้นเรื่องของผลประโยชน์และการฉ้อราษฎร์บังหลวง 

แต่ปัญหาที่แท้จริงนั้นกลับกลายเป็น ทั้งๆ ที่การเมืองไทยเป็นเช่นนี้ แต่ "ผู้คนกลับรับได้" 

เราก็ต้องกลับมาถามตนเองว่ารับได้เพราะอะไร ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกนี้เป็นพวกหากินบนกระดูกสันหลังของชาติ พวกเรารู้ว่าเขากินกันมากน้อยขนาดไหน แต่กลับปล่อยวาง 

"ปัญหาอยู่ที่ความคิดและความเข้าใจของพวกเราชาวไทยที่ยังไม่พัฒนามิติทางความคิดด้านการเมืองและการปกครอง" 

การเมืองไทยก็เหมือนกับคนที่อยู่ในห้องไอซียู รัฐธรรมนูญก็ไม่ต่างอะไรไปจากเครื่องช่วยหายใจราคาถูก ใช้แป๊บเดียวก็พัง จนหลายฝ่ายพูดว่า "วงจรอุบาทว์" ย่อมไม่มีวันสิ้นสุด และมักจะโทษนักการเมือง 

"แต่วงจรอุบาทว์นั้นเริ่มต้นที่พวกเรานั่นแหละครับ ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจว่าวงจรอุบาทว์นั้นคืออะไร ประชาธิปไตยย่อมไม่มีวันเต็มใบ" 

"วงจรอุบาทว์ภาคประชาชน" ก็คือช่องโหว่ทางความคิด ความเข้าใจ การรู้จักโครงสร้างทางการเมืองและการปกครอง รวมถึงการเรียกร้องสิทธิภาคประชาชน ซึ่งมีคนจำนวนน้อยที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ 

ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงเรื่อง ""การศึกษาด้านการเมืองการปกครองที่เน้นสิทธิของประชาชน"" ที่พวกเราต้องรณรงค์ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น 

ในวันนี้ผู้คนแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่กล้าพูดเรื่องการเมือง ไม่กล้าหยิบยกประเด็น เพราะกลัวจะทะเลาะกัน ขนาดเพื่อนรักยังทะเลาะ ครอบครัวยังแบ่งแยกขัดแย้งกันเอง เพราะเกิดจาก "ความศรัทธา" ในตัวนักการเมืองแบบผิดๆ 

"สิ่งที่ควรพัฒนาคือความคิด คิดให้ทันการเมืองเพื่อให้ทันเล่ห์นักการเมือง จึงเป็นรากฐานของสังคมประชาธิปไตยที่ถ่องแท้" 

คนรุ่นใหม่ต้องรู้จริง คิดให้ทัน เมื่อวันนั้นมาถึงประชาชนคงไม่ต้องเกรงใจ และคาดหวังนักการเมืองถึงเพียงนี้ เพราะสุดท้ายอำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของท่านเอง 

"ประชาธิปไตยไม่ใช่อำนาจของ ส.ส.หรือฝ่ายบริหาร ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่เสียงโห่ร้องของคุณ แต่เป็นความคิดและความเข้าใจของคุณมากกว่าครับ"

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551

"If I Never Knew You" Song from Disney"Pocahontas"

If I Never Knew You

If I never knew you
If i never felt this love
I would have no inkling of
How precious life can be

And if I never held you
I would never have a clue
How at last I'd find in you
The missing part of me.

In this world so full of fear
Full of rage and lies
I can see the truth so clear
In your eyes
So dry your eyes

And I'm so grateful to you
I'd hve lived my whole life through
Lost forever
If I never knew you

If I never knew you
I'd be safe but half as real
Never knowing I could feel
A love so strong and true

I'm so grateful to you
I'd have lived my whole life through
Lost forever
If I never knew you

I thought our love would be so beautiful
Somehow we'd make the whole world bright
I never knew that fear and hate could be so strong
all they'd leave us were these wispers in the night
But still my heart is saying we were right

Oh if I never knew you
There's no moment I regret
If i never felt this love
Since the moment that we met
I would have no inkling of
If our time has gone too fast
How precious life can be...
I've lived at last...

I thought our love would be so beautiful
Somehow we'd make the whole world bright
I thought our love wuold be so beautiful
We'd turn the darkness into light
And still my heart is saying we were right
we were right

And if I never knew you
If I never knew you
I'd have lived my whole life through
Empty as the sky
Never knowing why
Lost forever
If I never knew you 

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

ย่อยข่าวท้องถิ่นมติชน 15กย51 มติชน

นาย ปัญญา คลังกลาง รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (รอง ผอ.สพท.) อำนาจเจริญ ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีฝนตกติดต่อกัน ส่งผลให้เด็กนักเรียนเจ็บป่วยเข้ารักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ ในเขต จ.อำนาจเจริญ เฉลี่ยถึงวันละ 300-400 ราย เรียกประชุมผู้บริหารโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอำนาจเจริญ จำนวน 290 โรงเรียน ให้ดูแลเอาใจใส่เด็กๆ นักเรียน

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

ดูโฟลเดอร์แบบออนไลน์ของฉัน

sompobe อนุญาตให้คุณใช้โฟลเดอร์แบบออนไลน์นี้ร่วมกันได้ใน Windows Live SkyDrive
 
ดูโฟลเดอร์
 
sompobe_share
ดูไฟล์ในโฟลเดอร์แบบออนไลน์ "sompobe_share" ของฉันใน Windows Live SkyDrive

Windows Live SkyDrive คืออะไร
โฟลเดอร์ใน Windows Live SkyDrive ทำงานเหมือนกับโฟลเดอร์ในคอมพิวเตอร์ของคุณ แต่โฟลเดอร์เหล่านั้นถูกจัดเก็บแบบออนไลน์เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ อีกทั้ง ฉันยังสามารถใช้โฟลเดอร์ (ดังเช่นโฟลเดอร์นี้) ร่วมกับบุคคลที่ฉันเลือก (ในกรณีนี้หมายถึงคุณ!)
สร้าง Windows Live SkyDrive ของคุณเองทันที ฟรี!
มีปัญหาในการใช้งานลิงก์ใช่หรือไม่ ลองคัดลอกและวางลิงก์นี้ลงในเบราว์เซอร์ของคุณ:
http://cid-a7127243945c2f85.skydrive.live.com/accept.aspx/sompobe|_share?owner=sompobe%2540msn.com&invitee=sompope2007.sompope%2540blogger.com&fid=A7127243945C2F85%2521197&token=93tyRJIMZAX0gW84A4IQEj89J0LsNPE%2521yy1qhII%252awVzHamOWfHtsrXOJah9c%2521t9uri

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

คุณธรรม ความชอบธรรมในการปกครอง จากมติชน 05 กย.51

คุณธรรม ความชอบธรรมในการปกครอง และอำนาจอธิปไตยของประชาชนโดย ทินพันธุ์ นาคะตะ
ประชาธิปไตย เป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน เพราะมีหลักการ วิธีการ และวัตถุประสงค์ในการปกครองที่ผูกพันไว้กับประชาชนส่วนใหญ่เสมอองค์ประกอบทั้งสามนี้จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการได้ชื่อว่า ระบอบการปกครองที่ดี ที่เราแสวงหากันมากว่าสองพันปีประการแรก การปกครองแบบนี้ถือหลักการว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ผู้ใช้อำนาจออกกฎหมายผ่านสภานิติบัญญัติ ใช้อำนาจบริหารผ่านคณะรัฐมนตรี และใช้อำนาจตุลาการผ่านทางศาล ทั้งนี้ เพราะเรายึดมั่นในเสรีภาพ ความเสมอภาค และความสำคัญของบุคคล เป็นที่ตั้งประการที่สอง เป็นเรื่องของวิธีการ ที่มีข้อกำหนดต่างๆ ให้เกิดการใช้อำนาจอธิปไตยโดยประชาชนขึ้นมา เช่น มีรัฐธรรมนูญ การเลือกตั้งโดยเสรี กติกาในการปกครองที่ถือเสียงข้างมากในการตัดสิน คุ้มครองสิทธิของเสียงข้างน้อย รวมทั้งมีพรรคฝ่ายค้าน เป็นต้น ในกรณีนี้รัฐธรรมนูญกับการเลือกตั้งจึงเป็นเพียงเงื่อนไขที่จำเป็น แต่ไม่เป็นเงื่อนไขที่เพียงพอของประชาธิปไตย เพราะเผด็จการคอมมิวนิสต์ก็มีสองอย่างนี้ประเทศเรามักคิดกันว่าการมีสองอย่างดังกล่าวก็เป็นประชาธิปไตยขึ้นมาแล้ว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะประชาธิปไตยจะต้องเป็นมากกว่ากลไกทางการเมือง หากต้องครอบคลุมไปถึงประชาธิปไตยของสังคมหรือในวิถีชีวิต ที่ก่อให้เกิดความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ อย่างในประเทศแถบแองโกลอเมริกันหรือแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งต้องอาศัยการพัฒนาของตัวแปรประมาณ 20 ตัวด้วยกันประการที่สาม จะต้องยึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งสำคัญที่สุด มากกว่าหลักการและวิธีการข้างต้น หากไม่ยึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนรวมแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีการปกครองเพื่ออะไร เราแสวงหาระบอบการปกครองที่ดีเพื่อส่วนรวมมาแล้วกว่าสองพันปี ผู้มีอำนาจจึงต้องเสียสละ เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมในทุกกิจกรรม ทุกนาทีจึงจะได้ชื่อว่ามีคุณธรรมในการปกครองในทุกระบบการเมืองจะมีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการปกครอง แต่การยึดถือกฎหมายอย่างเดียวย่อมไม่อาจทำให้ผู้ปกครองอยู่ในอำนาจต่อไปได้ ถ้าขาดความชอบธรรมในการปกครองขึ้นมาความชอบธรรมในการปกครองเป็นเรื่องของความเชื่อ เกี่ยวกับข้ออ้างในสิทธิของผู้มีอำนาจ และการยอมรับในข้ออ้างนั้นของฝ่ายรับการปกครอง เมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายหลังไม่ยอมรับ ผู้มีอำนาจจะขาดความชอบธรรมในการปกครองทันที และอยู่ในอำนาจต่อไปไม่ได้ถ้าประชาชนเชื่อว่า นโยบาย การตัดสินใจ การกระทำของรัฐบาลไม่ถูกต้อง รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ข้อสังเกตก็คือ สังคมของเรา ผู้คนมักเข้าข้างตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น มีการพูดกันว่าองค์กรอิสระต่างๆ ตั้งขึ้นมาโดยไม่ชอบธรรม เพราะมาจาก คมช. โดยไม่พูดว่าตนเองได้เป็นรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาก็ไม่มีความชอบธรรมเช่นเดียวกัน เพราะมาจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 จาก คมช.ด้วยอนึ่ง ในสังคมประชาธิปไตยนั้น นอกจากจะมีสถาบันทางการเมืองที่เป็นทางการอย่างสภานิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ และองค์กรอิสระต่างๆ แล้ว ก็ยังมีสถาบันทางการเมืองที่ไม่เป็นทางการอย่างพรรคการเมือง องค์กรพัฒนาเอกชน การเมืองภาคประชาชน รวมทั้งสื่อมวลชน ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากๆ ในการช่วยพัฒนาประชาธิปไตยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบควบคุมรัฐบาลที่สำคัญก็คือ ประชาธิปไตย ต่างสัญญาประชาคม ของ จัง จ๊าค รุสโซ ที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตยของสังคมสมัยใหม่นั้น ยึดถือหลักอำนาจอธิปไตยของประชาชนโดยเคร่งครัด เขากล่าวว่า อำนาจดังกล่าวเป็นอำนาจสูงสุด เป็นขององค์อธิปัตย์ คือประชาชน เป็นอำนาจเด็ดขาด ละเมิดมิได้ สละให้ใครไม่ได้ ทำลายไม่ได้ จำกัดไม่ได้ มอบให้ใครไม่ได้ เพราะเขาถือหลักประชาธิปไตยโดยตรง (direct democracy) ประชาชนใช้อำนาจนั้นโดยตรง ไม่มีผู้แทน เขากล่าวว่า อำนาจนิติบัญญัติเป็นอำนาจสูงสุด เป็นของประชาชนโดยตรง เหนือกว่าฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจส่วนฝ่ายตุลาการเป็นหน้าที่หนึ่งของฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหารถูกยกเลิกได้ตามความพอใจของประชาชน เมื่อประชาชนมาประชุมกันเป็นองค์อธิปัตย์ อำนาจของฝ่ายบริหารต้องยุติลง กฎหมายที่ประชาชนไม่รับรองถือเป็นโมฆะ"เมื่อใดประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริงมาปรากฏตัว อำนาจฝ่ายบริหารผู้เป็นฝ่ายได้รับมอบอำนาจมาจะต้องยุติลง และสัญญาประชาคมนั้นย่อมถูกยกเลิกและเปลี่ยนแปลงได้เสมอ"

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

บาป 7 ประการ จากมติชน

บาป 7 ประการ
โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
มี ลูกศิษย์คนหนึ่งมาปรึกษาปัญหาหัวใจที่ได้ฟังแล้วก็ขำ แต่สังเกตจากสีหน้าท่าทางแล้วก็มั่นใจว่าเป็นเรื่องที่กังวลและหนักอกเอาการ อยู่ทีเดียว คือลูกศิษย์เขามาปรึกษาว่าเขาตั้งใจจะเปลี่ยนศาสนาจากที่นับถือศาสนาพุทธ อยู่ทั้งครอบครัวเขาจะไปเข้ารีตเพื่อนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เนื่องจากเขาคิดว่าเขาได้ทำบาปทำกรรมมาไม่น้อยเขากลัวจะตกนรกเนื่องจากทาง ศาสนาพุทธนั้นไม่มีการล้างบาปหรือให้อภัยจากการทำบาปแบบว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ซึ่งเขาได้รับทราบมาว่าทางศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิกที่คนไทยเรียกว่าคริสตัง นั้นมีพระมารับฟังการสารภาพบาปแล้วก็สามารถล้างบาปให้ได้
แต่ปัญหา ของเขาคือทางครอบครัวต่อต้านความคิดนี้อย่างรุนแรงทีเดียวทั้งๆ ที่ทั้งพ่อแม่พี่น้องของเขาเองก็ไม่ค่อยได้ไปวัดเท่าไรเลยนอกจากไปงานเผาศพ สวดศพประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้นเอง
และก็ไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องราวของพระพุทธศาสนาแต่ประการใด
ผู้ เขียนจึงได้ชี้แจงถึงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการล้างบาปให้กับลูกศิษย์ผู้มี ทุกข์หนักว่าโดยแท้ที่จริงแล้วบาปของทางศาสนาคริสตังเขาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1.บาปที่ให้อภัยได้ (Venial sin) ถ้าจะเปรียบกับพระวินัยของพระภิกษุในพุทธศาสนาก็จัดเป็นพวกลหุกาบัติคือการ ล่วงละเมิดข้อห้าม (วินัย) ของพระภิกษุอย่างเบาโทษไม่ร้ายแรงนัก อาทิ ปลงอาบัติคือไปสารภาพกับพระด้วยกันก็ถือว่ายกโทษให้ เช่น เรื่องกินข้าวเย็นหรือดื่มเหล้าหรือว่ายน้ำเล่นหรือหลอกผีพระด้วยกัน ฯลฯ

นอกจาก นี้ยังมีอาบัติที่หนัก เช่น แกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนหรือเป็นพ่อสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน อย่างนี้ต้องติดคุกพระ กักบริเวณที่ชาวบ้านเรียกว่าอยู่กรรมหรือปริวาสกรรมจึงจะพ้นผิด

2. บาปหนัก (Mortal sin) บาปประเภทนี้ก็เหมือนกับครุกาบัติทางวินัยของพระพุทธศาสนา คือ ประเภทฆ่ามนุษย์ ลักทรัพย์ ร่วมเพศ และอวดคุณวิเศษที่ไม่มีอยู่ในตัวเอง อย่างที่เรียกกันว่าปาราชิกสี่นั่นแหละ โทษถึงประหารชีวิตแบบว่าต้องตายตกจากเพศของสมณะไปเลย

ในทางคริสตังก็ คล้ายๆ กันคือการฆ่าคน ลักทรัพย์ เป็นชู้กับเมียเขา ทุบตีพ่อแม่ อะไรที่อยู่ในบัญญัติสิบประการนั่นแหละ คือทำไปแล้วหากโดนคว่ำบาตรด้วยก็ไปนรกเลย

วิญญาณก็ตายไปด้วย

ผู้ เขียนก็เพ้อต่อไปถึงบาป 7 ประการของทางคริสตังอ้างว่ามนุษย์เรานั้นเกิดมาก็มีบาปติดตัวมาด้วยเพราะต้น ตระกูลของมนุษย์ไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าด้วยการลักเอาผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ใน สวนสวรรค์มากินทั้งๆ ที่พระผู้เป็นเจ้าห้ามแล้วจึงถูกขับไล่จากสวนสวรรค์ เมื่อมีลูกมีเต้าก็มีบาปติดตัวทางสายเลือดแม้จะเข้าพิธีรับศีลจุ่ม (Baptize) แล้วก็ตามมนุษย์ก็ยังมีแนวโน้มที่จะเบี่ยงเบนไปในทางชั่วได้ 7 ประการคือ

1.หมกมุ่นในทางเพศ (Lust)

2.ตะกละ (Gluttony)

3.โลภ (greed)

4.เกียจคร้าน (laziness)

5.โกรธ (wrath)

6.อิจฉา (envy)

7.ยโสโอหัง (Vanity/pride)

การที่จะต่อต้านกับบาป 7 ประการนี้ ทางคริสตังก็ได้มีบุญ 7 ประการมากำราบ คือ

1.ถือพรหมจรรย์ (Chastity) แบบว่าเอาหนามบ่งหนามเลย

2.ยับยั้งชั่งใจ (Temperance) แบบว่ามีสติยับยั้งในการกินการดื่มไม่ให้มากเกินไป

3.บริจาค (Liberality) การบริจาคนั้นยิ่งกว่าการให้ทานเพราะเป็นการขัดเกลาความโลภของผู้ให้ด้วย

4.ขยัน (Diligence) แทนที่ความเกียจคร้าน

5.อดทน (Patience) แบบว่านับหนึ่งถึงสิบให้ทุเลาความโกรธลงได้

6.เมตตา (Kindness) แทนที่อิจฉา

7.อ่อนน้อม (Humility) แทนที่ความยโสโอหัง

ผู้เขียนก็เลยพูดว่าความจริงทางพระพุทธศาสนาก็มีของคู่กันคือ เบญจศีลกับ เบญจธรรม คือ

1.ห้ามฆ่าสัตว์ คู่กับ 1.เมตตา กรุณา

2.ห้ามลักทรัพย์ คู่กับ 2.หาเลี้ยงชีพโดยสุจริต

3.ห้ามประพฤติผิดในกาม คู่กับ 3.สำรวมในกาม

4.ห้ามพูดโกหก คู่กับ 4.มีสัตย์

5.ห้ามเสพสิ่งมึนเมา คู่กับ 5.มีสติรอบคอบ

ผู้เขียนสังเกตดูว่าลูกศิษย์ออกจะงงๆ เลยถามว่าเป็นยังไง? เขาก็บอกว่า

"อาจารย์พูดอะไร ผมไม่รู้เรื่องเลย"

ผู้ เขียนจึงสรุปได้ว่าลูกศิษย์ผู้นี้ไม่มีความรู้ทางศาสนาใดๆ เลย หากแต่ได้ยินได้ฟังมาแบบขาดๆ วิ่นๆ ผิวเผินเหลือเกิน แต่เป็นคนออกจะวิตกจริตมากไปหน่อย

ผู้เขียนจึงให้ยืมหนังสือศาสนา สากลไปอ่านมาก่อนแล้วบอกว่าค่อยมาพูดกันใหม่อีกทีหนึ่ง ตอนนี้ก็ต้องทำใจให้สงบค่อยๆ เรียนรู้ไปก่อน แล้วจึงค่อยคิด ค่อยตัดสินใจกันอีกทีหนึ่งก็ยังไม่สายจนเกินไป

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การพัฒนาคุณธรรม จากมติชน 30 สค 51

การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมกับสังคมโดย กิตติอาภา กรณ์ใหม่ความเปลี่ยนแปลงทางคุณธรรม จริยธรรมที่น่าวิตก คือการประพฤติปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ซึ่งสมัยก่อนถือว่าเป็นความชั่ว ความเลวร้าย ความผิดด้านคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรม แต่บางสิ่งบางอย่างที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่สังคมปัจจุบันยอมรับ และปฏิบัติกันอย่างไม่ละอายไม่สะดุ้งสะเทือน จนบางครั้งทำให้เกิดปัญหาและวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไปหากปล่อยให้ปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือเพิ่มความรุนแรงจะเป็นปัญหาต่อวิถีชีวิตทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง อย่างน้อยก็ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบให้เพิ่มพูนขั้นเป็นลำดับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี พุทธศักราช 2545 เป็นต้นไป มีเป้าหมายในการพัฒนาที่สำคัญคือ การพัฒนาคนไทยให้มีคุณธรรมจริยธรรมสูง มีความขยันขันแข็งในการปฏิบัติตามหน้าที่ต่างๆ ของตนเพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและป้องกันการเกิดปัญหาสังคมที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้มีการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมเพื่อเป็นการพัฒนาจิตใจ ซึ่งสอดคล้องกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนา คือ การทำความดี ปฏิบัติดี ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ตนมีบางคนอาจมีหน้าที่หลายหน้าที่ในขณะเดียวกัน เช่น เป็นหน้าที่หัวหน้าครอบครัวในขณะอยู่บ้านต้องปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าครอบครัวในหน่วยงานหรือหน้าที่การงานที่รับผิดชอบ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นควบคู่กันไปอีกหน้าที่หนึ่งอาจจะเป็นกรรมการหมู่บ้าน ชุมชน ก็มุ่งปฏิบัติหน้าที่ทุกด้านตามภาระงาน ความรับผิดชอบเยาวชนในครอบครัวก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ในครอบครัวคือ เป็นลูกที่ดี เชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดา มารดา ญาติผู้ใหญ่อีกด้านหนึ่งมีหน้าที่เป็นนักเรียน นักศึกษาก็ต้องมุ่งมั่น ขยันขันแข็งในการเรียน การพัฒนาตนเอง เป็นนักเรียกนักศึกษาที่ดีของโรงเรียนของสถาบัน การละเว้นความชั่วคือการไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เช่น ลุ่มหลงในอบายมุขทุกชนิด การไม่ประพฤติผิดศีลธรรม จรรยาบรรณหากเป็นครูก็ไม่ปฏิบัติตนในทางเสื่อมเสีย ตั้งใจปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเต็มเวลา เต็มความสามารถ การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ก็คือการคิดดีคิดชอบ การปฏิบัติตามหลักธรรมทางศาสนา ถือว่าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมสูงแต่ในปัจจุบันที่กำลังประสบปัญหาในครอบครัว สังคมก็คือการขาดคุณธรรมจริยธรรม บุคลากรขาดคุณธรรมจริยาธรรมแล้วจะทำให้ตนเองมีปัญหาโยงใยไม่สู่ปัญหาครอบครัว สังคม ประเทศชาติและโลก ตามลำดับโดยเฉพาะในปัจจุบัน ปัญหาการขาดคุณธรรม จริยธรรมในหมู่เยาวชนของชาติกำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะเช่น การขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของบิดา มารดา ครู อาจารย์ ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์กันก่อนวัยอันควร การมีเพศสัมพันธ์กันแบบเปลี่ยนคู่กันไปตามความต้องการของตัณหา การนิยมมีกิ๊กกันของคนในยุคนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดาสังคมปัจจุบันยอมรับกันได้แต่ในสมัยก่อนถือว่าเป็นปัญหามาก เป็นการกระทำผิดศีลอย่างรุนแรงหากเป็นหญิงถือว่าเป็นความชั่วร้ายอย่างมหันต์ไม่สมควรที่จะให้อภัย บางครั้งสังคมถึงกับลงโทษไม่คบค้าสมาคม ถูกติฉันนินทา จนทำให้ต้องย้ายถิ่นที่อยู่ไปในที่ที่ ไม่มีใครรู้จักในสมัยที่ผู้เขียนอายุประมาณ 27 ปี ประมาณปี พ.ศ.2525 ได้มีเพื่อนหญิงในหมู่บ้านที่จังหวัดนครราชสีมา คนหนึ่งที่สามารถไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบียมีผู้ชายมาติดพัน ต่อมาคบกันฉันชู้สาว คนในหมู่บ้านมีปฏิกิริยามองในลักษณะเหยียดหยาม พูดจาตักเตือน ญาติพี่น้องด่าว่าอย่างเสียหาย ได้รับความกดดันมาก จึงได้พากันย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดที่ไม่มีใครรู้จักแต่ในปัจจุบัน คนใดมีกิ๊กมีชู้ สามารถคุยกันได้อย่างเปิดเผยเป็นที่ยอมรับกันได้ในสังคมเหตุการณ์หรือสถานการณ์อย่างนี้คือปัญหาสังคมอย่างหนึ่ง เนื่องมาจากผู้คนขาดคุณธรรมน่าจะใช้เวลาในการมั่วสุมเวลาที่กระทำตามกามตัณหา ราคะ มาปฏิบัติในสิ่งดี สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ปฏิบัติให้ถูกต้องตามจารีตประเพณี ปัญหา หากปล่อยไว้จะทวีความรุนแรงขึ้นผู้ที่มีฐานะเกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ควรมีการสกัดกั้นไม่ให้ลุกลามเป็นปัญหาสังคมที่ทวีความรุนแรงทุกขณะ ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งอาชญากรรม (วัยรุ่นปล้น จี้ หาเงินไปเที่ยว ติดพนันบอล) ซึ่งผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องควรมีการปลูกฝัง ตั้งแต่วัยเด็ก โดยเฉพาะเล็กๆ ในวัยเรียนเพื่อให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจที่สมบูรณ์คุณลักษณะที่ควรส่งเสริมในเด็กไทยคือ การปลูกฝังส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและจิตสำนึก มีความรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว สังคม ความละอายต่อความชั่ว ความละอายต่อบาป ความซื่อสัตย์สุจริต ความกตัญญูรู้คุณ ความไม่เห็นแก่ตัว ความจริงใจ ความขยันหมั่นเพียร เห็นคุณค่าของตนเองและผู้อื่น มีจิตสำนึกในความเป็นไทยซึ่งเรื่องนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรีได้กำหนดมาตรฐานการศึกษาเพื่อการประเมินคุณภาพภายนอกระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กำหนดมาตรฐานด้านผู้เรียนมาตรฐานที่ 1 ว่าผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์โดยมีตัวบ่งชี้ผลสำเร็จ ดังนี้1.วินัย มีความรับผิดชอบ ปฏิบัติตนตามระเบียบและหลักธรรมเพื่อพัฒนาของแต่ละศาสนา2.ซื่อสัตย์สุจริต3.มีความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเสียสละเพื่อส่วนรวม4.ประหยัด ใช้สิ่งของและทรัพย์สินทั้งของตนเองและส่วนรวมตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติอย่างประหยัดและคุ้มค่านอกจากการกำหนดให้มีการประเมินคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนเป็นสิ่งสำคัญเป็นประการสำคัญแล้ว ทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานยังได้กำหนดให้มีการส่งเสริมและกำหนดนโยบายให้โรงเรียนในสังกัดได้จัดการเรียนการสอนโดยส่งเสริมคุณภาพขั้นพื้นฐาน 8 ประการ ได้แก่ มีน้ำใจ สุภาพ สะอาด ซื่อสัตย์ ประหยัด ขยัน สามัคคี มีวินัยจากประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยปัจจุบัน เป็นการเรียนรู้ในลักษณะบูรณาการด้วยวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลายที่ผู้เสนอจะต้องวางแผนการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนโดยครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยมีทั้งทักษะทางภาษา และทฤษฎีการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมการปลูกฝังคุณธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ควรกระทำอย่างยิ่งในวัยการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งคุณธรรมต่างๆ ที่ควรปลูกฝังมีดังนี้1) ขยันขยัน คือ ความตั้งใจเพียรพยายามทำหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ อดทน ความขยัน ต้องปฏิบัติควบคู่กับการใช้สติปัญญา แก้ปัญหาจนเกิดผลสำเร็จผู้ที่ความขยัน คือ ผู้ที่ตั้งใจทำอย่างจริงจังต่อเนื่องในเรื่องที่ถูกที่ควรเป็นคนสู้งาน มีความพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค รักงานที่ทำ ตั้งใจทำหน้าที่อย่างจริงจัง2) ประหยัดประหยัด คือ การรู้จักเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน สิ่งของแต่พอควรพอประมาณ ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อผู้ที่มีความประหยัด คือ ผู้ที่ดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย รู้จักฐานะการเงินของตน คิดก่อนใช้คิดก่อนซื้อ เก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สินสิ่งของอย่างคุ้มค่า รู้จักทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของตนเองอยู่เสมอ3) ความซื่อสัตย์ซื่อสัตย์ คือ ประพฤติตรงไม่เอนเอียงไม่มีเล่ห์เหลี่ยมมีความจริงใจ ปลอดจากความรู้สึกลำเอียงหรืออคติผู้ที่มีความซื่อสัตย์ คือ ผู้ที่มีความประพฤติตรงทั้งต่อหน้าที่ ต่อวิชาชีพ ตรงต่อเวลา ไม่ใช้เล่ห์กล คดโกงทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าที่ของตนเองและปฏิบัติอย่างเต็มที่ถูกต้อง4) มีวินัยมีวินัย คือ การยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและข้อปฏิบัติ ซึ่งมีทั้งวินัยในตนเองและวินัยต่อสังคมผู้ที่มีวินัย คือ ผู้ที่ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎ ระเบียบของสถานศึกษา สถาบัน/องค์กร/สังคมและประเทศ โดยที่ตนเองยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจและตั้งใจ5) สุภาพสุภาพ คือ เรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อม มีกิริยามารยาทที่ดีงาม มีสัมมาคารวะผู้ที่มีความสุภาพ คือ ผู้ที่อ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพและกาละเทศะ ไม่ก้าวร้าว รุนแรงวางอำนาจข่มผู้อื่นทั้งโดยวาจาและท่าทาง แต่ในเวลาเดียวกันยังคงมีความมั่นใจในตนเอง เป็นผู้ที่มีมารยาท วางตนเหมาะสมตามวัฒนธรรมไทย6) สะอาดสะอาด คือ ปราศจากความมัวหมองทั้งกาย ใจ และสภาพแวดล้อม ความผ่องใสเป็นที่เจริญตาทำให้เกิดความสบายใจแก่ผู้พบเห็นผู้ที่ความสะอาด คือ ผู้รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัยสิ่งแวดล้อมถูกต้องตามสุขลักษณะ ฝึกฝนจิตใจมิให้ขุ่นมัว จึงมีความแจ่มใสอยู่เสมอ7) สามัคคีสามัคคี คือ ความพร้อมเพียงกัน ความกลมเกลียวกัน ความปรองดองกัน ร่วมใจกันปฏิบัติงานให้บรรลุ ผลตามที่ต้องการเกิดงานการอย่างสร้างสรรค์ปราศจากการทะเลาะวิวาท ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เป็นการยอมรับความมีเหตุผล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความหลากหลายในเรื่องเชื้อชาติ ความกลมเกลียวกันในลักษณะเช่นนี้ เรียกอีกอย่างว่า ความสมานฉันท์ผู้ที่มีความสามัคคี คือ ผู้ที่เปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้บทบาทของตนทั้งในฐานะผู้นำและผู้ตามที่ดี มีความมุ่งมั่นต่อการรวมพลัง ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเพื่อให้การงานสำเร็จลุล่วงแก้ปัญหาและขจัดความขัดแย้งได้ เป็นผู้มีเหตุผล ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมความคิด ความเชื่อ พร้อมที่จะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ8) มีน้ำใจมีน้ำใจ คือ ความจริงใจที่ไม่เห็นแก่เพียงตัวเองหรือเรื่องของตัวเอง แต่เห็นอกเห็นใจเห็นคุณค่าในเพื่อน มนุษย์ มีความเอื้ออาทรเอาใจใส่ ให้ความสนใจในความต้องการ ความจำเป็น ความทุกข์สุขของผู้อื่น และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันผู้ที่มีน้ำใจ คือ ผู้ให้และผู้อาสาช่วยเหลือสังคม รู้จักแบ่งปัน เสียสละความสุขส่วนตน เพื่อทำประโยชน์แก่ผู้อื่นเข้าใจ เห็นใจ ผู้ที่มีความเดือดร้อน อาสาช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกาย สติปัญญา ลงมือปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหา หรือร่วมสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในชุมชนหากผู้สอนได้ตั้งใจพัฒนาคุณธรรมให้เกิดในจิตใจเด็กและเยาวชนแล้วปัญหาต่างๆ ในสังคมก็จะบรรเทาลงได้โดยเฉพาะในวัยเด็กควรเน้นการพัฒนาคุณภาพพื้นฐานให้เกิดขึ้นหรือซึมซับในจิตใจเสียก่อนอื่นๆ เพราะความรู้ต้องคู่คุณธรรมมีความรู้มากมายแต่ไร้คุณธรรมจะนำชีวิตสู่อบายมุข มีความลุ่มหลง งมงาย ประเทศชาติไม่พัฒนาขอจงยึดหลักคุณธรรมนำชีวิตมีความสุข

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

จำนวน อปท. ณ 15 ส.ค.51


สมภพ จะสมัครลง ก.กลาง

สมภพ สังข์สุวรรณ ปลัดเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ขอขันอาสาเป็นกรรมการฝ่ายพนักงานเทศบาล ใน ก.ท.กลาง กำหนดการคัดเลือก 21 ส.ค.51 ณ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โปรดดูแนวคิดได้ที่ http://sompopes.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

8 คำถามต้องห้ามของจีน ในกีฬาโอลิมปิค 2008(จากมติชน)

หมาดๆ..ทางการจีนก็ออกคำแนะนำอีก เพื่อให้การสนทนาระหว่างชาวจีนกับชาวต่างชาติเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่สะดุดหูจนอาจทำให้บรรยากาศกร่อยนั่นคือ "8 คำถามต้องห้าม" ที่ไม่ควรถามนักท่องเที่ยว ประกอบด้วย-อย่าถามเรื่องรายได้หรือการใช้จ่าย-อย่าถามอายุ-อย่าถามว่าแต่งงานหรือยัง หรือความรักเป็นอย่างไรบ้าง-อย่าถามเกี่ยวกับสุขภาพ-อย่าถามถึงประสบการณ์ส่วนตัว-อย่าถามที่อยู่-อย่าถามว่าทำอะไร -อย่าถามว่านับถือศาสนาอะไร หรือมีมุมมองทางการเมืองอย่างไรออก "8 คำถามต้องห้าม" ปุ๊บ เรื่องนี้ก็กลายเป็นประเด็นให้ชาวจีนไม่น้อยได้วิพากษ์วิจารณ์ทันที

วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ทำอย่างไรถ้าเป็นหนี้ คัดลอกจากมติชน

คำ แนะนำนี้อาจใช้ได้สำหรับหลายคน แต่มีอีกหลายคนไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือไม่ ถ้ามุ่งประเด็นที่ "ใจ" ของเรา อยู่อย่างใจสงบ อิสระจากการถูกมัดจากเรื่องภายนอก คิดว่าทุกอย่างที่เป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้น ควรปฏิบัติดังนี้

1.มอง โลกในแง่ดีให้มาก คิดว่าการที่ติดหนี้สิน เพื่อการพัฒนา พิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการเงิน แต่ก็ห้ามคิดว่าพัฒนามากเกินไปจนกลายเป็นฟุ้งเฟ้อ ไม่รู้จักพอ ที่แย่คือคิดเอาเงินในอนาคตมาใช้ โดยไม่รู้จักบริหารจัดการให้ดี อย่างนี้ก็เป็นหนี้หัวโต

2.อย่าเป็นคนรักษาหน้ามาก บางคนมองการเป็นหนี้คนอื่น เป็นการบอกว่าเราด้อย ไม่มีเงิน ไม่มีทรัพย์สมบัติ ทนไม่ได้ที่ต้องเป็นหนี้ ก็เลยไม่กล้าลงทุนทำอะไร หรือยอมไปหาเงินมาจากที่อื่นๆ ที่ไม่เหมาะสมแทน เช่น เล่นการพนัน เสี่ยงโชค ยอมขายตัวขายศักดิ์ศรีแลกเงิน แย่กว่าการเป็นหนี้สถาบันการเงินเสียอีก

3.มองว่าการมีหนี้ก็เพื่อ การฝึกควบคุมตนเองและฝึกการบริหารจัดการเรื่องเงินเรื่องทองให้ได้ ถ้าทำได้ ฝ่าฟันได้จะเป็นผู้มีประสบการณ์แกร่งขึ้น

4.บอกตัวเอง เสมอว่าคนที่เครียดควรเป็นเจ้าหนี้ อย่ามองเพียงแค่ว่าเจ้าหนี้มีความสุขจากการได้ดอกเบี้ยเงินกู้อย่างเดียว มีเจ้าหนี้จำนวนมากก็ขาดทุนไปไม่น้อย ซึ่งควรจะช่วยกันทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจทั้งสองฝ่าย อย่าเอาเปรียบกันดีที่สุด

5. เผื่อใจสำหรับการใช้หนี้ไม่ได้ อาจต้องยอมขายหรือเสียอะไรบางอย่างบ้าง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้ อย่าเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบยึดติดกับวัตถุมากเกินไป เงินทองของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ อย่าไปปักใจอยู่กับคุณค่าของวัตถุมากเกินไป เพราะคุณค่าที่เกิดขึ้นเกิดจากใจของเราต่างหากที่ไปสร้างเงื่อนไขทางความ คิดตัวเอง

6.ผู้ไม่มีทรัพย์สินอะไรให้ขายชดใช้หนี้ อย่าลืม "ทรัพย์สินทางปัญญา" ต้องพยายามหาออกมาใช้ให้มากที่สุดเชื่อว่าไม่มีทรัพย์ใดจะมีค่ามากไปกว่า ปัญญาของเราเอง

7.คิดหาทางเลือกอื่นๆ ไว้เมื่อหนี้มีปัญหา อย่าคิดสั้นๆ อย่าลืมว่าปัญหามักจะมีทางออกสำหรับผู้ที่ฝึกคิดเสมอ

8.การ เป็นหนี้ในแง่ดีคือว่าคุณยังเป็นคนที่มีเครดิตอยู่ อย่างไรก็ตาม ถ้าขอใครแล้วเขาไม่ให้ยืมก็กลับมาทบทวนบอกตัวเองว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" อย่าไปหวังใครจะมาช่วยเรา ถ้าเรายังไม่เริ่มต้นคิดช่วยเหลือตนเอง

9.ฝึก ตนเองมุ่งมั่นในการทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดเรื่องการเป็นหนี้อยู่ในสมองให้มากนัก มีความรับผิดชอบต่อชีวิตและหนี้สิน เมื่อนั้นจะรู้สึกมีความสุขมาก และจะภูมิใจที่เราเป็นคนที่มีความรับผิดชอบที่ดี ให้ชมตัวเองบ่อยๆได้

10.ถ้า โดนเจ้าหนี้ทวงอยู่เรื่อยๆ ใช้วิชาการเจรจาต่อรอง แสดงความจริงใจว่าจะผ่อนส่งให้ ถ้าเขาอยากได้มากกว่าที่เราสามารถให้ได้ ก็ตอบไปตรงๆ ว่าไม่สามารถทำได้ในเวลานั้น (แต่จะพยายามหามาให้) เพราะเขาเองก็กลัวจะไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้น หาข้อตกลงรอมชอมดีที่สุด อย่าเครียดไปก่อนเพราะกลัวว่าจะทนต่อการถูกทวงไม่ไหว อย่าลืมว่าเจ้าหนี้บางรายเป็นพวกจู้จี้จุกจิก ย้ำคิดย้ำทำ ซึ่งควรเห็นใจเขา เพราะเงินของใคร ก็หวงห่วงเป็นธรรมดา

11.คนที่ ค่อนข้างเครียดคิดมากเรื่องการเป็นหนี้ ให้สำรวจตนเองว่าเป็นคนวิตกกังวลเกินไปหรือไม่ ส่งผลต่อชีวิตอย่างไร เช่น ทำให้ขยันขึ้น ทำให้หมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้กับปัญหากันไหม ถ้าเป็นประเด็นหลังอาจต้องรับการบำบัดรักษาทางด้านสุขภาพจิตจะดีกว่า หากปล่อยไว้ ชีวิตจะค่อยๆ หมดพลังในการดำเนินชีวิตในที่สุด

ฝึกเด็กให้เป็นคนมีระเบียบวินัย จากข่าวสด

ฝึกเด็กให้เป็นคนมีระเบียบวินัย

ธรรมะใต้ธรรมาสน์

ไต้ ตามทาง



เด็ก บางคน...จดวิชาที่ตนเรียนอย่างเปะปะๆ ปนเปกันลงไปในสมุดเล่มโน้นนิด เล่มนี้หน่อย...ไม่มีระเบียบเสียเลย สมุดหนังสือก็ฉีกขาด สกปรกด้วยภาพเขียนประเภทต่างๆ เท่าที่มืออันซุกซนของตนจะเขียนลงไปได้ กลับบ้านก็วางเกะกะ หาไม่พบ ก็พาลรีพาลขวาง หาว่าคนนั้นคนนี้เอาของตนไป ตนทำผิดแต่ไม่รู้ว่าผิดเลย

เด็กแบบที่กล่าวมานี้เป็นเด็กขาดระเบียบ เขาได้ถูกปล่อยตัวให้เป็นคนไร้ระเบียบมาแต่เล็กๆ เมื่อโตขึ้นเขาก็เป็นคนรุ่มร่ามรุงรังเต็มที ถ้าทำงานที่ใดก็ทำอย่างลวกๆ เป็นคนสุกเอาเผากิน ทำงานไม่ก้าวหน้า ถึงเวลาควรทำงานไม่ทำ งานที่ควรทำก่อนกลับทำทีหลัง ครั้นถูกเร่งรัดเข้าก็ทำอย่างเร่งรีบ สำเร็จลงอย่างบกพร่องไม่เรียบร้อย ถ้าถูกดุถูกด่าก็หาว่าเคร่งครัดเกินไป คอยแต่ดุจนไม่มีเวลาหายใจ ตัวเป็นคนผิดแต่กลับไม่รู้สึก ขอท่านลองคิดดูบ้างเถิด

ถ้าหากว่าในวงงานใหญ่ๆ มีกิจการอย่างกว้างขวาง มีคนประ เภทนี้อยู่มาก งานนั้นจะลุล่วงไปได้หรือไม่ บ้านเมืองที่มีคนผู้ไม่มีระเบียบทางใจ แต่มีความอยากเป็นใหญ่เป็นโตเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ใส่ตนเข้ามาปกครองบ้าน เมือง บ้านเมืองก็ขาดความ เป็นระเบียบ ขาดความเที่ยงธรรม หน้าที่การงานก็เหลวไหล ความ เจริญของบ้านเมืองนั้นย่อมไม่เกิดจากบุคคลผู้ไร้ระเบียบอย่างนี้ ชาวต่างชาติมาเห็นเข้าก็จะดูหมิ่นว่าคนชาตินี้เป็นคนไร้ระเบียบ น่าขายหน้าเหลือเกิน!

ชาวไทยเราทั่วๆ ไป ขอโทษเถิดที่จะกล่าวว่ายังย่อหย่อน หรือไม่มีการอบรมตน อบรมลูกหลานให้เป็นคนมีระเบียบ บ้านเมือง ไทยจึงเต็มไปด้วยความสกปรกนานาประการ บางทีเราก็อาจจะไม่เกิดความรู้สึกในเรื่องนี้ เหมือนหนอนที่เกิดในสิ่งสกปรก ...ย่อมไม่รู้สึกรังเกียจต่อสิ่งสกปรก ฉันนั้น แต่ถ้าได้ไปเที่ยวในต่างประเทศที่มีระเบียบแล้ว กลับมาดูความเป็นไปในบ้านเมืองของเรา เราก็จะมองเห็นความไม่เป็นระเบียบในตัวเราได้อย่างชัดเจน บ้านของพวกเราอาจจะรกเกะกะ นึกจะวางอะไรที่ไหนก็วางได้ตามชอบใจ นึกจะกินตรงไหนก็กินอย่างพอใจ นึกจะแต่งอย่างไรก็แต่งตามชอบใจ แม้แต่มีเสื้อชั้นในตัวเดียวหรือชุดวันเกิดก็ยังออกไปเดินอวดกล้ามกลางถนน ได้ เห็นสุภาพสตรี บางคนนุ่งกางเกงทรงมาธาดอร์แบบนักผจญวัวในสเปนใช้ไปวัดก็มี แม้เราดูสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ ในบ้านเรา ก็ยังขาดความเป็นระเบียบอยู่มาก

คน ไทยเราปกติชอบความมีเสรีภาพ ชอบทำอะไรตามแต่ใจชอบ ของตนเองเสมอ ใครๆ ก็ชอบเสรีภาพด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะการ อบรมเด็ก เรามักถือหลักว่า อย่าไปกักกันความเติบโตของความคิดทางสมองของเด็ก ปล่อยให้เขาได้มีเสรีในทางความคิดกันอย่าง เต็มที่ ข้าพเจ้าก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่มาคิดได้ว่าทุกอย่างมันต้องมีขอบเขต ถ้าไม่มีขอบเขตก็จะออกนอกวงไป...จะเสียในภายหลัง

ฉะนั้น จะต้องมีการจำกัดวงของเสรีภาพไว้บ้าง อย่าปล่อยกันจนกลายเป็นคนที่ไม่มีหลัก เพราะปกติใจของคนนั้นมีสภาพวิ่งไปอยู่ตลอดเวลา หากไม่มีการบังคับไว้บ้างแล้วก็คงไปกันมากจนอาจเสีย คนไปก็ได จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบไว้กล่อมเกลาใจของคน ให้เคยชินกับการถูกกันไว้ในกรอบเสียบ้าง มิฉะนั้นเขาจะลำบากใจเมื่อเขาโตขึ้นและต้องอยู่ในระเบียบ เช่น กฎหมาย และขนบธรรมเนียมบางอย่าง เป็นต้น

ขอให้จำไว้ว่า...

ชีวิตที่ไม่มีระเบียบนั้นคือ

ชีวิตอันป่าเถื่อนเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น

มนุษย์คือผู้มีใจสูงเพราะมีระเบียบวินัยรักษาไว้

คนดีทั้งหลายจึงมีระเบียบสำหรับตน

สำหรับครอบครัว สำหรับงาน

เป็นคนมีระเบียบอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

ทหาร ที่เดินแถวอย่างพร้อมเพรียงมีระเบียบน่าชม ถ้าเดินเกะกะออกนอกทางก็ไม่น่าดูเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นขอพ่อแม่ที่รักลูกทั้งหลายอย่าได้ละเลยต่อการฝึกฝนลูกของท่าน ให้เป็นคนมีระเบียบเป็นอันขาด อนาคตของลูกของท่านจะดีงามอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของท่าน

นับ แต่ลูกของท่านพ้นจากท้องของแม่ ท่านต้องเริ่มฝึกระเบียบ ใหม่ให้แก่ชีวิตเขาทันที เช่น เริ่มให้เขารับประทานอาหารเป็นเวลา เมื่อโตขึ้นเข้าวัยของเด็กที่พอเล่นหัวได้แล้วก็ให้เล่นเป็นเวลา ในเรื่องการนอนต้องฝึกให้เขาเป็นคนมีระเบียบของการนอน คือ สอนให้นอนเป็นเวลา การพาเขาไปเดินเล่นเที่ยวเตร่นอกบ้านก็ต้องทำให้เป็นเวลา แต่งตัวเขาให้สะอาดและเหมาะสม เด็กขนาดอายุสี่ห้าขวบ ที่ได้รับการอบรมดีพอสมควรแล้วจะร้องไห้ดิ้นรนทันที ถ้าท่านมิได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวให้เขาในขณะที่จะพาเขาไปนอกบ้าน

เด็ก ที่นั่งได้แล้วท่านควรสอนให้นั่งตัวตรง โดยท่านนั่งตัวตรง ให้เขาดูเป็นตัวอย่างเสมอ เวลาป้อนอาหารก็ควรมีผ้ากันเปื้อนผูกคอ มีผ้าเช็ดปาก ป้อนอาหารอย่าให้เลอะเทอะมูมมาม ถ้าเปื้อนต้องสอนให้เขาใช้ผ้าเช็ดปากเป็น ถ้าเขารับประทานอาหารได้เองแล้ว ต้องสอนให้ใช้ช้อนส้อมเป็น ให้กินอย่างมีระเบียบเรียบร้อย ถ้ากินร่วมกันหลายคนต้องฝึกให้เขามีช้อนกลาง ใช้ช้อนกลางเป็น ให้เขาเข้าใจว่าช้อนที่เข้าปากแล้วเอาไปตักแกงเป็น สิ่งสกปรก การถ่ายอุจจาระก็ควรฝึกให้ถ่ายเป็นเวลา พอถึงเวลาก็บอกให้นั่งกระโถน เรื่องการกินเป็นเวลาอย่างใด เรื่องการถ่ายก็ต้องเป็นอย่างนั้น

ถ้า เขาไปโรงเรียนได้แล้ว โปรดเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ สอน ให้เขาเก็บเสื้อผ้า เครื่องเขียน ของเล่นของเขาให้เป็นระเบียบ ให้อ่านเขียนตามเวลา กวดขันให้ทำการบ้านให้เรียบร้อย สมุด หนังสือ ดินสอ ปากกา ของใช้ ต้องให้อยู่ในภาวะที่สะอาดและเรียบร้อยเสมอ และการไปโรงเรียนก็ต้องให้ไปตามเวลา กลับบ้านตามเวลา เล่นกีฬาเป็นเวลา กลับถึงบ้านต้องพบกับพ่อแม่ก่อน แล้วตรวจดูสิ่งของเสื้อผ้าว่าเรียบร้อยไหม บอกให้จัดเก็บให้เป็นที่เป็นทาง จึงให้อาบน้ำรับประทานของว่างเล็กน้อยก่อนอาหาร ท่านต้องถือว่าเป็นหน้าที่ของท่าน ที่จะต้องตรวจตราดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ เพราะความมีระเบียบของเด็กๆ นี่เองแหละ ที่จะสร้างความเป็นระเบียบในการเป็นผู้ใหญ่ต่อไป

คนไทยทั้งชาติจะมีระเบียบเรียบร้อยได้

ก็โดยพ่อแม่ทุกคน ได้ช่วยกันฝึกสอน

ให้เด็กมีระเบียบไปแต่เริ่มต้น

จึงขอฝากท่านพ่อแม่ไว้ด้วยเถิด

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

แบบทดสอบ 30 ข้อที่บอกว่าคุณแก่แล้ว! จากมติชน

คำถาม 49 ข้อ ที่มี หากคุณอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วคุณรู้จักมักคุ้น เคยได้เห็น ได้สัมผัสกะสิ่งที่เรากล่าวขึ้นมาประมาณสัก 30 ข้อ... เราก็ขอแสดงความยินดีด้วย....เพราะคุณแก่แล้ว

1 เคยไปเมโทร บิ๊กเบล ไดมารูราชดำริ
2 เคยเล่นถ้วยหมุนบนเซนทรัลชิดลม
3 เคยเล่นสวนสนุกบนมาบุญครอง
4 รู้จักแมคโดนัลที่แรกที่โซโก้
5 รู้ว่ามีฟู้ดคอร์ทที่แรกที่มาบุญครอง
6 ยังเรียกสถานที่ต่อไปนี้ว่า เวิลด์เทรด รีเจนท์ ฮิลตัน (โดยที่ไม่ยอมจำว่ามันเปลี่ยนเป็น เซ็นทรัลเวิลด์ โฟร์ซีซั่น ราฟเฟิล ส่วนฮิลตันก็ไปเปิดใหม่ตรงแม่น้ำแล้ว)
7 เคยกินฟาสต์ฟู้ดเหล่านี้ซึ่งไม่มีแล้ว ทาโก้ ป๊อบอาย เวนดี้ โฮเบอร์เกอร์ เชคกี้ส์พิซซ่า
8 คิดว่า แฮปปี้แลนด์ แดนเนรมิต ถ้าไม่เคยไป เสียชาติเกิดเป็นที่สุด
9 เคยดูหนังแบบที่มันมีราคาตามผังที่นั่ง
10 เคยเล่นไอซ์บนเวิลด์เทรด
11 เคยรู้ว่า ค่าทางด่วนราคา 10 บาทแล้วเปลี่ยนเป็น 15 แล้วเป็น 30 จนถึง 40 ในตอนนี้
12 รู้ว่า ดอนเมืองมีแค่ 1 เทอร์มินัล
13 เคยเติมน้ำมันทีละ 200
14 เคยใช้ floppy disk แผ่นเท่าจาน
15 เคยใช้ คอมไม่มีเมาส์
16 เคยใส่แบรนด์ต่อไปนี้ NEXT, Dr.Martin, Banana Republic (เคยใส่กางเกงยีนส์สีต่างๆ ผู้หญิงเคยผูกโบว์ใหญ่เท่าผ้าสไบ ผู้ชายเคยห้อยกระดิ่งที่รองเท้า)
17 เคยมีเพจ ถ้าจะให้ดีต้องรุ่น advisor
18 รู้ว่า แต่ก่อนมือถือไม่มี 01 เบอร์บ้านไม่มี 02
19 รู้ว่าแต่ก่อนไม่มีชื่อถนนหรือชื่อย่าน แบบนี้...คือ รัชวิภา รัชโยธิน เลียบทางด่วน
20 เคยติด IBC แล้วเปลี่ยนเป็น UTV แล้วมันก็มารวมกันเป็น UBC
21 เคยดู เฮนเบะ บุนบู เมียมนิทานชีวิต แคสเปอร์ผีน้อย บาบ้าปาร์ป้า
22 เคยเรียนดรุณศึกษา หนูมาลีหนูมาลัย หรือมานะมานี
23 สอบเอ็นระบบเก่า วัดใจทีเดียวไม่มีลุ้น
24 ชอบของแถมที่มากับรองเท้าบาจา เช่นโจรสลัดที่อยู่ในถัง
25 คอนเสิร์ตไมเคิลแจ๊กสัน คอนเสิร์ต gun n roses คอนเสิร์ตบอนโจวี่ นีล่ะของชอบ
26 เคยมีเกมกดและพัฒนาเป็นนินเทนโด
27 เคยอ่านนิตยสาร ลลนา สตรีสาร สกุลไทย และรู้ว่าสตรีสารจะมีภาคพิเศษสำหรับเด็กด้วย ซึ่งมีการ์ตูนน่ารักๆ หลายเรื่อง เช่น ต๋อมจอมยุ่ง เจ้าขนฟู คนพิลึก
28 เกิดทันหนังสือเด็กแนวสมัยก่อน เช่น ปลื้ม ไปยาลใหญ่
29 ชอบกินไอติมโฟร์โมสต์
30 เกิดทันโฆษณายุคหวานใส เช่น ขอเสื้อคืนด้วยค่ะ, อุ๊ยส้มหล่น , จะให้เธอน่ารักน้อยกว่านี้หรือให้ผมกล้ามากกว่านี้ดีนะ, รักเจรักช็อคโกบาร์
31 เกิดทันยุคหนังวัยรุ่น สะแด่วแห้ว กลิ้งไว้ก่อน มีดารานำจำพวก มอส เต๋า โมทย์ จอห์น ดีแลนด์ ศรราม นุ๊ก ต๊ะ ฯลฯ
33 ถ้าแก่มากจะทัน พาเลซ โรม ถ้าแก่ไม่มากนักจะทันไวเบรชั่น ชาร์กกี้ ทอรัส ดิสคัฟเวอรี่
34 สามารถบอกชื่อศิลปินค่ายคีตา ได้มากกว่า 3 คน เช่น อ้อม สุนิสา นีโน่ ฝันดีฝันเด่น เอ็มสุรศักดิ์ แจ็กจิล เคดีรอม ยูโฟ ต่อนันทวัฒน์ พงพัฒน์ ยุ้ย ทีสะเกิ๊ต โก้นฤเบศร์
35 นอกจากสามหนุ่มสามมุมแล้วยังทัน ตะกายดาว คนค้นคน นางฟ้าสีรุ้ง
36 รู้ว่าจะมีการฺ์ตูนโผล่มาเวลา ช่องทีวีมีปัญหา เช่น นกหัวขวาน
37 เคยอยู่ในช่วง ดอลล่าร์ละ 25 บาท ปอนด์ละ 40 (โอ้แม่เจ้า เคยมีในสมัยนั้นจริงๆ)
38 เกิดทัน การดูเลเซอร์ มีร้านให้เช่าดูที่สยามด้วย
39 เกิดทันยุคที่นักร้องแกรมมี่ต้องมีเพลงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่ในอัลบั้ม
40 รู้ว่าสยามเซ็นเตอร์และชิดลม ไฟไหม้ในเวลาใกล้เคียงกัน ทำให้ช่วงนั้นไม่มีห้างจะเดิน
41 คนข่าวสมัยนั้นที่ดัง คือ สมเกียรติ์ อรุณโรจน์ วิทวัส
42 ยุทธการขยับเหงือก เทปแรกๆ มีเสนาปัญญา เสนากิ๊ก และก็มีเสนาโค้ก อรุณ ติ๊กกลิ่นสี แหม่มสุริวิภา ส่วนโน้ตอุดม หอย ส่วนวิทย์มาทีหลัง
43 เคยรู้ว่าถ้าท่านใดสามารถตอบได้ว่า วันนี้พี่เบิร์ดร้องเพลงกี่เพลง/ ติ๊นาเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดกี่ชุด
จะได้รับนาฬิกาคาเรร่าสำหรับสุภาพบุรุษ 1 เรือนและสุภาพสตรี 1 เรือน
สำหรับเงินค่าเข้าประตูในวันนี้ จะนำไปซื้อตู้ยาพร้อมเครื่องเวชภัณฑ์ให้โรงเรียนวัดไผ่อีเห็น
44 ชอบพูดว่าตัวเองยังไม่แก่ แต่ที่แท้เวลาได้ยินเพลงสมัยก่อนจำพวกเจ นูโว ยูเอชที จะยิ้มแป้น
แถมยังชอบไปดูคอนเสิร์ตย้อนยุคทั้งหลาย และชอบไปที่เที่ยวที่เปิดเพลงเก่า
45 เคยคิดว่า โบ-จ๊อยซ์โป๊มาก (สมัยนี้เจอเจอเกิร์ลลี่เบอรี่เข้าไป หึ หึ)
46 ยังไม่มี airport tax
47 ฮิตเสื้อนักศึกษาตัวใหญ่ หรือพอดีๆ ไม่ใช่รัดติ้วเป็นแหนมมัดเหมือนสมัยนี้
48 รู้ว่าซูกัส ทรีบอล์ เคยห่อเป็นแบบท็อฟฟี่ คอร์นพัฟเป็นถาดดึงออกมา ป๊อกกี้แกะกล่องจากด้านบนไม่ใช่ตรงกลางแบบนี้ และยังมี มั้นมัน ทวิสตี้ จิ๊กกะดี้ ริงโก้ กาก้า
49 เคยดูเขาทราย เขาค้อ สามารถ ซึ่งเวลาต่อยแข่ง ถนนโล่งไปหมดไม่มีคนออกจากบ้าน

ที่มา : Forward mail.

วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พาคุณแม่มาหาหมอครับ




ที่คลีนิคหมอประยงค์ ถนนขุขันธ์ ศรีสะเกษ

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

p220508150235

- Taken at 3:02 PM on May 22, 2008 - cameraphone upload by ShoZu

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2551

แนะกินไม่ไห้ไตพัง จากข่าวสด

แนะเลี่ยงอาหารเนื้อไขมันมากไม่ให้ไตพัง
ศูนย์โรคไต โรงพยาบาลวิภาวดี จัดบรรยายพิเศษ "กินอย่างไร ไม่ให้ไตพัง" โดยน.พ.อุปถัมภ์ ศุภศิลป์ กล่าวว่า เมื่อเกิดโรคไตเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม จะเกิดการทำลายเนื้อไตอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน เหมือนกับตัวกรองที่เริ่มมีการอุดตัน ทำ ให้กรองของเสียออกได้ไม่หมด ถ้ามีของเสียเป็นจำ นวนมาก ตัวกรองจะตันเร็วขึ้นเราจะช่วยไตไม่ให้ทำ งานหนักเกินไปได้ ด้วยการรับประทานอาหารให้ถูกต้องอย่างเพียงพอ จะช่วยชะลอการเสื่อมของไตได้หัวใจของการเลือกรับประทานอาหารในโรคไตเรื้อรัง คือ ลดโปรตีนจากอาหาร หรือลดการกินเนื้อสัตว์ ไม่กินอาหารที่มีรสเค็ม เลี่ยงไขมันจากสัตว์และกะทิ ควบคุมน้ำหนักตัว กินอาหารให้ครบห้าหมู่ ผู้ป่วยควรกินอาหารโปรตีนต่ำ ตั้งแต่มีไตเรื้อรังระยะแรกๆ โดยจำกัดให้ได้รับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ประมาณ 1 ช้อนครึ่ง กินข้าวต่อน้ำหนักตัว 10 กิโลกรัมต่อวัน เช่น ถ้าน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม จะกินเนื้อสัตว์ได้เพียง 7-8 ช้อนกินข้าวตลอดทั้งวัน
เนื้อสัตว์ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ เนื้อสัตว์ที่มีไขมันมาก ไข่แดง เครื่องในสัตว์ หนังหมู หนังไก่ หมูสามชั้น ปลาหมึก หอยนางรม เนื้อสัตว์ที่มีคุณค่าทางอาหารต่ำ ทำให้ไตต้องทำงานหนักโดยเปล่าประโยชน์เพื่อขับของเสียออกมา เช่น เอ็นหมู เอ็นวัว ข้อไก่ คากิ หูฉลาม ตีนเป็ด ตีนไก่ เนื้อสัตว์ที่กินทั้งเปลือกหรือกระดูก เช่น ตั๊กแตน จิ้งหรีด กบ หรือเขียด ปลา กรอบ กุ้งแห้ง อาหารหมู่ข้าวและแป้ง ผู้ที่ถูกจำกัดโปรตีนควรได้รับมื้อละ 2-3 ทัพพีเล็ก หรือข้าวเหนียวนึ่งครึ่งทัพพี (หรือ 4 คำ) ถ้าชอบขนมปังขาว 2-3 แผ่น ถ้าไม่อิ่มให้เลือกทานแป้งมีโปรตีนต่ำทดแทน ได้แก่ วุ้นเส้นถั่วเขียว แป้งมัน แป้งข้าวโพด และสาคู" ในงานนี้ พลอยกาญจน์ โพธิพิมพานนท์ ทายาทเบนซ์ทองหล่อ และพิธีกรรายการชีวิตชีวาเดลี่ ทางช่อง 3 สาธิตเมนูอาหารถนอมไต "พล่าเห็ด" ให้ได้ชิมกันสดๆ พร้อมเทคนิคเล็กน้อยสำหรับผู้ป่วยไต ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มและรสจัด เพราะความเค็มทำให้กระหายน้ำ และการดื่มน้ำมากทำให้ผู้ป่วยโรคไตเกิดความดันโลหิตสูง นำมาสู่การเกิดหัวใจวายหรือบวมน้ำได้ หรือหากจำเป็นต้องปรุงจริงๆ ความเค็มที่พอเหมาะ ปริมาณเทียบเท่ากับเกลือประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน หรือ น้ำปลา 3 ช้อนชา ต่อวัน ไม่ควรเติมซอส หรือน้ำปลาพริกระหว่างกินอาหาร

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ทดสอบ




การบรรยายของอาจารย์

ไอซ์แลนด์ จาก มติชน

Heima ผลึกเพลงสงบงาม ในอ้อมกอดของบ้านเกิดคอลัมน์ อาทิตย์เธียเตอร์โดย พล พะยาบ www.aloneagain.bloggang.com
ขณะกำลังตั้งท่าเขียนต้นฉบับสัปดาห์นี้...พาดหัวข่าวหนึ่งในหนังสือพิมพ์ทำให้ผู้เขียนต้องหยุดอ่านด้วยความสนใจเป็นพิเศษ เพราะมีแง่มุมเกี่ยวเนื่องกับหนังที่ตั้งใจจะเขียนพอดีเนื้อข่าวระบุว่า ไอซ์แลนด์ได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความสงบสุขมากที่สุดในโลก จากการสำรวจของสถาบันจัดดัชนีความสงบสุขโลก (Global Peace Index) ประจำปี 2008หนังเรื่อง Heima (2007) สะท้อนภาพความสงบสุขดังกล่าวได้อย่างดีอันที่จริง Heima ไม่ใช่หนังธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหนังสารคดีที่มีรูปแบบของหนังคอนเสิร์ต โดยศิลปินหรือวงดนตรีต้นเรื่องคือ ซิเกอร์ รอส (Sigur Ros) วงโพสต์-ร็อคสัญชาติไอซ์แลนดิกความพิเศษลำดับต่อมาคือ หนังคอนเสิร์ตเรื่องนี้ต่างจากหนังคอนเสิร์ตเรื่องอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้เป็นบันทึกการทัวร์แสดงสดเต็มรูปแบบทั่วประเทศหรือรอบโลก แต่เป็นการตระเวนเล่นดนตรีตามชุมชนหรือสถานที่ห่างไกลรอบเกาะไอซ์แลนด์โดยไม่คิดค่าเข้าชมและไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าให้เอิกเกริกภาพวิวทิวทัศน์ ชุมชน และผู้คนจากสถานที่ต่างๆ นี่เองที่แสดงให้เห็นถึงความสุข สงบ และสวยงาม...ที่ปกคลุมทั่วดินแดนน้ำแข็งแห่งยุโรปเหนือ
ขณะที่บทเพลงไหวว้าง-นิ่งลึกของซิเกอร์ รอส ร่วมสะกดผสานความรู้สึกนั้นสนิทแน่นเป็นหนึ่งเดียวหนังกำกับโดย ดีน เดอบลัวส์ นักทำหนังชาวแคนาเดียน เริ่มต้นบทบันทึกในเดือนกรกฎาคม ปี 2006 หลังจากซิเกอร์ รอส เสร็จสิ้นทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกโปรโมตอัลบั้ม Takk… ตั้งแต่นิวซีแลนด์ถึงอเมริกาเหนือ พวกเขาเดินทางกลับบ้านเกิดแล้วใช้เวลา 2 สัปดาห์ ตระเวนเล่นฟรีคอนเสิร์ตโดยเดินทางไปเงียบๆ ตามเมืองเล็กๆ ชายทะเลรอบเกาะไอซ์แลนด์...เป็นที่มาของชื่อหนัง Heima ซึ่งแปลว่า "บ้าน"นัยว่าเป็นการย้อนคืนสู่จุดเริ่มต้นของพวกเขา ไม่ว่าจะในความหมายของสถานที่ หรือหมายถึงความธรรมดาสามัญซึ่งสูญเสียไปหลังจากชื่อเสียงความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาอย่างรวดเร็วการแสดงสดแบบเรียบง่ายจัดขึ้นใน 6 เมือง ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเวทีกลางเมืองกลางสายหมอก โรงงานปลาเฮอริ่งเก่าในเมืองอุตสาหกรรมประมงที่ถูกปล่อยร้างหลังจากไม่มีปลาในทะเล เวทีทุ่งหญ้าห้อมล้อมด้วยประติมากรรมหุ่นหน้าตาประหลาด ในหอประชุมขนาดเล็ก ร่วมเล่นกับวงดุริยางค์ประจำเมือง กับนักร้องเพลงสวด และเล่นดนตรีอะคูสติคบนที่ราบกลางเทือกเขาเพื่อประท้วงการสร้างเขื่อน (ปัจจุบันพื้นที่บริเวณนั้นจมอยู่ใต้น้ำแล้ว)
มีคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบ 2 ครั้ง ในกรุงเรคยาวิก และบนลานโล่งท่ามกลางป่าเขียวในหุบเขาแอสเบอร์กิ แถมด้วยภาพการเล่นดนตรีอย่างเป็นกันเองในหมู่เพื่อนและญาติพี่น้องในร้านอาหารของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งหนังเสนอภาพการแสดงดนตรีโดยแบ่งตามสถานที่ ทั้งที่มีผู้ชมและเล่นกันเองตามลำพัง ถ่ายทอดให้เห็นบรรยากาศอันเงียบสงบ รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของผู้คนซึ่งมีทุกเพศวัยตั้งแต่เด็กจนถึงคนชรา จำนวนไม่น้อยอุ้มลูกจูงหลานราวกับมาร่วมในงานรื่นเริงประจำท้องถิ่น ภูมิทัศน์ของเมืองดูร่มเย็น บ้านเรือนสีสันสดใส เห็นเทือกภูโอบล้อมอยู่ไม่ไกล บนยอดเขาปกคลุมด้วยสีขาวของหิมะ พ้นขึ้นไปเป็นท้องฟ้าครึ้มคราม บ้างเป็นสีแดงส้มของพลบค่ำบางครั้งพวกเขาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างแท้จริง รอบทิศไร้สิ่งปลูกสร้าง หนังตัดสลับภาพการแสดงด้วยทัศนียภาพหลากหลายแห่งดินแดนชายทะเล ทั้งที่ราบเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เห็นธารน้ำเล็กๆ รินไหล ทะเลสาบนิ่งสงบสะท้องเงา ภูเขาสีเทาทอดยาวสุดสายตา บ้างกางกั้นราวฉากแห่งเวทีธรรมชาติที่รองรับเวทีการแสดงของพวกเขาอีกชั้นหนึ่ง นอกจากองค์ประกอบด้านภาพ ทั้งภาพการแสดง ผู้คน และธรรมชาติซึ่งหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือบทเพลงของซิเกอร์ รอส ที่มีเอกลักษณ์อยู่ที่เสียงร้องแผดหวานล่องลอยของ จอน เบอร์กิสสัน คลอเคล้าด้วยเสียงดนตรีจากเครื่องดนตรีหลากชนิด ทั้งเปียโน ออร์แกน ชุดเครื่องสีประเภทไวโอลิน ชุดเครื่องเป่าที่เข้ามาช่วยเพิ่มสีสันในบางเพลง รวมไปถึงเสียงกังวานใสของเครื่องเคาะชื่อ "กลอคเค็นสปิล" ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในหลายบทเพลง ท่วงทำนองอ้อยสร้อย-เร่งเร้าสอดผสานเรียบเรียงอย่างลงตัวและสวยงาม ราวถูกสะกดตรึงด้วยความรู้สึกโปร่งเบาดื่มด่ำเมื่อบทเพลงดังกล่าวมาพบกับภาพอันสุขสงบงดงาม ประสบการณ์ทางความรู้สึกอันสุดวิเศษจึงเกิดขึ้นตามมากระทั่งดินแดนน้ำแข็งอันไกลโพ้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาอบอุ่นอยู่ในใจเรานี่เอง...หน้า 23

บ้านอาจสามารถ นครพนม จากมติชน

รู้จักชาวแสก เมืองนครพนมอุษาคเนย์ นงนวล รัตนประทีป
"นครพนม" เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง เรียกว่า "แสก" อาศัยอยู่ ชาวแสกมีวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ และวิถีชีวิตเป็นอัตลักษณ์ผศ.สมชาย นิลอาธิ นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยอุบล ราชธานี เป็นหนึ่งในผู้ที่สนใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมภาคอีสานของไทย เล่าให้ฟังในการบรรยายวัฒนธรรมชาวแสกในนครพนม ที่ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ว่า ชาวแสก จ.นครพนม เป็นชนชาติน้อย มีวัฒนธรรมท้องถิ่น ภาษาพูดเป็นของตัวเอง ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จากการที่ได้ศึกษา และสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ในอีสาน พบว่า ชาวแสก มีถิ่นฐานเดิมอยู่ในเวียดนามภาคเหนือ พอมีปัญหาต่างก็เคลื่อนย้ายกระจัดกระจายไปตามแถวชายแดนประเทศต่างๆ เช่น จีน ลาว และไทย ชาวแสกในปัจจุบันบางส่วนอยู่ตอนใต้ประเทศจีน ทางมณฑลยูนนาน เลี่ยงไปทางตะวันออกก็เข้าเขตกวางสี ในส่วนของลาวเข้าเขตตอนเหนือแขวงคำม่วน แขวงบอลิคำไซ และจากแขวงคำม่วนเข้ามาทางท่าแขกริมฝั่งแม่น้ำโขง จ.นครพนม ในภาคอีสาน
ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่า และประวัติศาสตร์ที่นักวิชาการลาวเขียนไว้ น่าจะเป็นไปได้ว่าถิ่นเดิมของแสกมาจากเวียดนามเหนือ ใกล้กับเมืองเวียงไซ ซำเหนือ แขวงหัวพัน จากนั้นอพยพแตกกระจาย พวกหนึ่งเข้ามาทางแขวงคำม่วน และแขวงบอลิคำไซ ตอนกลางของลาว ผ่านมาทางหลักซาว นากาย ยมมะลาด มะหาไซ อีกส่วนหนึ่งข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาที่ท่าแขก จ.นครพนม คาดในราวรัชสมัยพระเจ้าปรา สาททอง แห่งกรุงศรีอยุธยา ก่อนเริ่มตั้งถิ่นฐานที่บ้านอาจสามารถ อ.เมือง จ.นคร พนมผศ.สมชาย เล่าต่อว่า ปัจจุบันชาวแสกอาศัยอยู่ในภาคอีสาน มีอยู่ 4 หมู่บ้าน ในจ.นครพนม คือ บ้านอาจสามารถ และบ้านไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครพนม ที่บ้านมะหว้า อ.นาหว้า จ.นครพนม และบ้านดอนสมอ ต.ท่าบ่อสงคราม อ.ศรีสงคราม จ.นคร พนม สำหรับบ้านอาจสามารถ อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมแค่ประมาณ 5 กิโลเมตร ถือเป็นชนชาติ หรือชนเผ่าส่วนน้อย ส่วนคำว่าแสกนั้น จากการศึกษาของนักวิชาการลาว ก็ระบุว่าไม่มีใครรู้ความหมายของคำว่า "แสก" รู้แต่ว่าคนเผ่าอื่นเรียกกันและทางการก็ใช้คำว่าแสก
จากอีกหลักฐานที่พบ อาจเป็นไปได้ว่าพวกแสกอพยพหนีภัยการคุกคามของญวน เข้าไปอยู่ในเขตเมืองคำเกิด คำม่วน แต่เนื่องจากสำเนียงภาษาพูดแปร่งจากคนกลุ่มอื่นๆ ที่เข้าไป "แทรก" อาศัยอยู่กับพวกญ้อ ผู้ไท พวน แทนที่จะเรียกพวก "แซก" เลยกลายเป็น "แสก" จุดเด่นของชาวแสกคือ พิธีกรรม ดังที่ที่บ้านอาจสามารถมีพิธี "กินเตดเดน" บางครั้งเรียกว่า "เลี้ยงเดน" จะมีศาลเจ้าพ่อ "เดนหวั่วโองมู้" ชาวแสกจะนำข้าว เนื้อควาย ไปเซ่นไหว้ที่ศาล ในวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3 จัดพิธีเลี้ยงช่วงเช้าเป็นต้นไป เป็นผีประจำเผ่า โดยคำว่า "กินเตดเดน" เป็นภาษาเวียด คำว่า "เตด" คือ "ตรุษ" เป็นที่รู้กันว่า "ตรุษแสก" สำหรับภาษาเขียนของชาวแสก พบว่าไม่มีตัวอักษรที่เป็นตัว ร เลย แต่จะมีภาษาปากที่ใช้อยู่ในกลุ่มของตนเท่านั้นเมื่อติดต่อกับคนภายนอกจะใช้ภาษาลาวเป็นหลัก แต่ก็มีภาษาชนเผ่าอื่นปนอยู่เช่นกัน คนกลุ่มภาษาตระกูลไทยลาวจะฟังภาษาแสกเข้าใจประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และหากประเมินทัศนะของแสกแล้ว จะพบว่ามีหลายภาษาปนอยู่ คือ ภาษาแสก ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ภาษาลาว 30 เปอร์เซ็นต์ และภาษาเวียดนาม 10 เปอร์ เซ็นต์ อีกทั้งในพิธีเลี้ยงนี้จะพิธีเต้น "สาก" เดิมจะมีแต่ผู้หญิงที่เต้นเท่านั้น ปัจจุบันมีผู้ชายร่วมเต้นด้วยส่วนชาวแสกที่บ้านไผ่ล้อม ต.อาจสามารถ มีพิธีกรรม "เสี่ยงหอย" เพื่ออธิษฐานขอฟ้าฝน โดยใช้หอยขม หรือหอยจูบ 3 ตัว ชาวแสกเรียกว่า "เสี่ยงโอก" ทำในตอนเย็น หรือประมาณ 1 ทุ่ม ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 สำหรับการแต่งตัวของชาวแสกจะคล้าย "ลาวโซ่ง" หรือ "ลาวดำ" เพราะการท่อผ้ายอมสีจะคล้ายกัน พื้นเดิมอยู่ที่ นาแมว นาบึก หัวพัน ส่วนใหญ่จะเป็น "ผู้ไทดำ" หรือ ลาวโซ่ง นี่เป็นส่วนหนึ่งของชาวแสกที่ถูกนำมาถ่ายทอดในเบื้องต้น เชื่อว่ายังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกมากมายให้ค้นหาสำหรับชาติพันธุ์นี้ ต่างเกี่ยวข้องดองเป็นเครือญาติกันในภูมิภาค

วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

FW: ข่าวบ้านเมือง




From: sompobe@msn.com
To: sompope2006@hotmail.com; sompope_work@hotmail.com; sompope.sompope2007@blogger.com
Subject: ข่าวบ้านเมือง
Date: Wed, 21 May 2008 07:45:14 +0700

 หมวดข่าว / ข่าวออนไลน์
โดย บ้านเมืองออนไลน์ เมื่อเวลา 10:09:00  วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2551
รองนายกเล็กเมืองอำนาจฯ โต้กระแสข่าวนายกโดนใบแดง
รองนายกเล็กเมืองอำนาจฯ โต้กระแสข่าวนายกโดนใบแดง

          อำนาจเจริญ/ ตามที่มีข่าวออกมาตลอดเวลา ว่า นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ถูก กกต. กลาง กทม.ให้ใบแดง และยุติบทบาทการบริหารงานเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา สร้างความสับสนแก่ประชาชนชาวเทศบาลเมืองอำนาจเจริญเป็นอย่างมาก

          นางพวงคำ สวัสดี รองนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอำนาจเจริญและที่ปรึกษากลุ่มอิสระอำนาจเจริญ เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า ศาลอุทธรณ์ได้รับเรื่องไว้แล้ว เกี่ยวกับมีผู้ร้องเรียนว่าการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอำนาจเจริญเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม มีการทุจรติการเลือกตั้ง และได้มีหนังสือถึงนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ เมื่อต้นเดือน พ.ค.51ให้ระงับการทำงานของนายกจนกว่าศาลจะตัดสิน ระหว่างนี้คณะบริหาร คือรองนายกเทศบาลฯ ทั้ง 2 คน ได้ปฏิบัติราชการแทนไปก่อน หากผลออกมาว่าถูกใบเหลืองหรือใบแดง จะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งกลุ่มอิสระอำนาจเจริญ นายวิชัย บุญเสริฐ หัวหน้ากลุ่ม และนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอำนาจเจริญที่เป็นฝ่ายบริหารในปัจจุบันและมี ส.ท.ในสังกัด 15 คนจากทั้งหมด 18 คน ก็จะมีการประชุมหารือกันอีกครั้ง ว่าจะส่งใครลงสมัครนายกเทศบาลฯ ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนและต้องการให้ตนลงสมัครในนามกลุ่มอิสระอำนาจเจริญ แทนนายกวิชัย บุญเสริฐ หัวหน้ากลุ่ม ซึ่งตนก็พร้อมเต็มที่ แต่จะต้องได้รับเสียงประชามติจากสมาชิกกลุ่มก่อนจึงจะตัดสินใจอีกครั้ง






ติดตามข่าวสาร สาระบันเทิง กีฬา และอื่นๆ ที่ MSN Thailand Homepage MSN Thailand Homepage

FW: ข่าวมติชน




From: sompobe@msn.com
To: sompope.sompope2007@blogger.com; sompope_work@hotmail.com; sompope2006@hotmail.com
Subject: ข่าวมติชน
Date: Wed, 21 May 2008 07:52:11 +0700

 
วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11019

กกต.กลางสั่งฟ้าผ่า ให้นายกเมืองอำนาจฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่




นางพวงคำ สวัสดี รองนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ คนที่ 1 เปิดเผยว่า เทศบาลได้รับหนังสือคำสั่งด่วนจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลาง ให้นายวิชัย บุญเสริฐ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ หยุดปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2551 หลังเข้าปฏิบัติงานหลังเกือบ 1 ปี และให้ตนรักษาการแทนนายวิชัย เนื่องจากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2550 ไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการอุทธรณ์คำสั่ง ซึ่งตนจะไปให้ปากคำเพิ่มเติมที่ศาลอุทธรณ์ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนงานทุกอย่างของเทศบาลสามารถดำเนินการได้ตามปกติ

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังประชาชนในพื้นที่ทราบข่าว ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า อาจมีใบเหลืองใบแดงจากการเลือกนายกและสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) อำนาจเจริญหลายรายอย่างแน่นอน ทำให้บรรยากาศการเมืองเป็นไปอย่างคึกคัก โดยบางกลุ่มเตรียมเปิดตัวหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งซ่อมแล้ว

(กรอบบ่าย)



แต่งบล็อกใน Space ของคุณง่ายๆ ด้วย Windows Live Writer Windows Live Writer

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

วันวิสาขะ จากมติชน

"วิสาขบูชา" วันสำคัญทางพุทธศาสนา กับโอกาสในการสร้างคุณความดีโดย กฤษณา พันธุ์มวานิช สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรมวันวิสาขบูชาตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 คำว่า "วิสาขะ" แปลว่า เดือน 6 ซึ่งทางจันทรคติเรียกว่า วิสาขมาส คำว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจากคำว่า วิสาขบูรณมีบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 ถ้าหากปีใดมีเดือนอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน วันวิสาขบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7ทางราชการถือว่าวันวิสาขบูชาเป็น "วันพระพุทธ" เพราะเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และวันปรินิพพาน ในวันเดียวกันประเพณีวันวิสาขบูชาในประเทศไทยเริ่มกระทำมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังตำนาน "อันพระนครสุโขทัยราชธานี ถึงวันวิสาขบูชานักขัตฤกษ์ครั้งใดก็สว่างไสวไปด้วยแสงประทีป เทียนดอกไม้เพลิง" ในครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่ปรากฏหลักฐาน ส่วนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ได้ทรงฟื้นฟูพิธีวันวิสาขบูชาให้เป็นแบบแผนขึ้นและกระทำสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันดังกล่าวข้างต้นว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันที่เกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ-วันที่พระองค์ทรงประสูติเมื่อวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินีวัน ประเทศเนปาล-พระองค์ทรงตรัสรู้เมื่อวันพุธขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ณ อุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย-พระองค์ทรงปรินิพพานเมื่อวันอังคารขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง เมื่อพระชนมายุได้ 80 พรรษา ณ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ประเทศอินเดียดังนั้น พุทธศาสนิกชนจึงสมควรจะมีการประกอบพิธีพุทธบูชา เพื่อน้อมรำลึกถึงพระพุทธคุรอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์การกำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลก เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 นายดอน ปรมัตต์วินัย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ตามที่มีการประชุม International Buddhist Confernce ณ กรุงโคลัมโบ ประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา ระหว่างวันที่ 9-14 พฤศจิกายน 2541 ซึ่งมีผู้แทนจากประเทศที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนมากเข้าร่วม อาทิ บังกลาเทศ จีน ลาว เกาหลีใต้ เวียดนาม ภูฏาน อินโดนีเซีย เนปาล กัมพูชา อินเดีย ปากีสถาน และไทย ได้ตกลงที่จะเสนอให้สมัชชาสหประชาชาติรับรองข้อมติที่จะประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดของสหประชาชาติต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2542 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 54 ได้พิจารณาว่า เนื่องจากวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลกเพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ทรงตรัสรู้ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรม และขันติธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางสหประชาชาติที่ประชุมจึงให้การรับรองโดยฉันทามติว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ และที่ทำการสมัชชาจะจัดให้มีการระลึกถึง (Observance) ตามความเหมาะสมดังที่กล่าวแล้วข้างต้นว่าวันวิสาขบูชามีความสำคัญสหรับพุทธศาสนิกชนทั่วโลก และด้วยเหตุที่ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ศาสนูปถัมภกพระพุทธศาสนา ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธ ความศรัทธาเลื่อมใสก็มีอยู่ทั่วกัน และทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งเป็นแนวทางของสหประชาชาตินั้นพุทธศาสนิกชนจึงได้จัดให้มีการประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้นในวันนี้เนื่องจากถือว่าวันนี้มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์อย่างน่าอัศจรรย์ คือ เป็นวันที่ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน โดยยึดหลักความกตัญญู อริยสัจ 4 และความไม่ประมาท ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ควรปฏิบัติในวันวิสาขบูชาความกตัญญู คือ ความรู้อุปการคุณที่มีผู้ทำไว้ก่อนเป็นคุณธรรมคู่ความกตเวที คือ ตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทำไว้นั้น ผู้ที่มีอุปการคุณก่อนเรียกว่า "บุพพการี" ขอยกมากล่าวในที่นี้คือ บิดา มารดา และครูอาจารย์ คุณธรรมในข้อนี้สามารถนำไปใช้ได้แม้ระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกร นายจ้างกับลูกจ้างเพื่อนกับเพื่อน และบุคคลทั่วไป รวมทั้งมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมอริยสัจ 4 คือ ความจริงอันประเสริฐ หมายถึง ความจริงที่ไม่ผันแปร ที่เกิดได้กับทุกคนซึ่งมี 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต ทุกข์ที่เกิดจากการไม่ได้ตามใจปรารถนา รวมทั้งทุกข์ที่เกี่ยวกับดำเนินชีวิตด้านต่างๆสมุทัย คือ เหตุแห่งปัญญานั้น คือ ตัณหา อันได้แก่ ความอยากได้ต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วยความยึดมั่นนิโรธ คือ การแก้ปัญหาได้ ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิตทั้งหมดนั้นแก้ไขได้ดดยการดับตัณหา คือ ความยากให้หมดสิ้นมรรค คือ ทางหรือวิธีการแก้ปัญหาด้วยการแก้ไขตามมรรคมีองค์ 8ความไม่ประมาท คือ การมีสติขณะพูดและขณะคิด คือ การระลึกรู้ทันที่คิด พูดและทำ ในภาคปฏิบัติเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน หมายถึง การระลึกถึงรู้ทันการเคลื่อนไหวอิริยาบถ 4 คือ เดิน ยืน นั่ง นอน การฝึกให้มีสติทำได้โดยตั้งสติกำหนดการเคลื่อนไหวอิริยาบถกล่าวคือ ระลึกรู้ทันทั้งในขณะยืน เดิน นั่ง และนอน รวมทั้งระลึกรู้กันในขณะพูด ขณะคิดและขณะทำงานต่างๆการจัดพิธีวันวิสาขบูชาของชาวพุทธในปัจจุบันก็คือ มีการเวียนเทียนและสดับพระธรรม การตั้งโต๊ะหมู่บูชา ตกแต่งดอกไม้ตามมุมของพระอุโบสถอย่างสวยงามตามพุทธประวัติ ปางประสูติ ปางตรัสรู้ ปางปฐมเทศนา และปางเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานรวม 4 มุม เพื่อแสดงออกถึงความเคารพสักการะต่อองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการบูชา 2 ประเภท คือ การบูชาด้วยวัตถุสิ่งของ ดอกไม้ ธูปเทียน อย่างหนึ่ง ปฏิบัติบูชา คือ การบูชาด้วยการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง การบูชาทั้ง 2 ประการนี้ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญปฏิบัติบูชาเพราะว่าการบูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนย่อมมีประโยชน์มากคือ ทำให้ศาสนาของพระองค์เจริญรุ่งเรืองมาตราบเท่าทุกวันนี้

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ตำนานข้าวหอมมะลิ จากมติชน

วันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6373 ข่าวสดรายวันสุนทร สีหะเนิน ตำนาน"ข้าวหอมมะลิ"มนตรี จิรพรพนิต
ปี2551 นับเป็นปีที่ชาวนาไทยดูจะมีความสุขกว่าที่ผ่านมา หลังจากราคาข้าวกระโดดขึ้นไปสูงถึงเกวียนละมากกว่า 15,000 บาท อย่างล่าสุดราคารับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิ ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ศูนย์จังหวัดอุดรธานี ราคา 18,500-19,000 บาทต่อเกวียน หรือที่ศูนย์จังหวัดสุรินทร์อยู่ที่เกวียนละ 18,000-18,100 บาทสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากความขาดแคลนข้าวในตลาดโลก จนหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งในการส่งออกข้าวสู่ตลาดโลก พากันออกกฎห้ามจำหน่ายข้าวสารออกนอกประเทศโดยเฉพาะข้าวของไทยเราคือ "ข้าวขาวดอกมะลิ" หรือเรียกกันติดปากว่า "ข้าวหอมมะลิ" เป็นที่ต้องการของตลาดโลก เพราะได้รับการยอมรับแล้วว่า เป็นข้าวที่เมื่อหุงแล้วจะมีกลิ่นหอมหวาน เม็ดข้าวนุ่มนวล รสชาติอร่อยที่สุด เป็นหนึ่งในพันธุ์ข้าวที่หลายประเทศทั่วโลกยอมรับ จากพันธุ์ข้าวพื้นเมืองที่นิยมปลูกกันในพื้นที่เพียงตำบลเดียวในไทย คือ ต.ท่าทองหลาง อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา สู่ความยิ่งใหญ่ของความเป็นข้าวที่ทุกคนในโลกต้องการ มาจากอดีตข้าราชการชั้นผู้น้อยคนหนึ่งชื่อ "สุนทร สีหะเนิน" อดีต ผอ.สำนักงานส่งเสริมการเกษตรภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบสายพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 อันโด่งดังคุณตาสุนทร ในวัย 86 ปี เปิดบ้านพาย้อนรำลึกความหลังให้ฟังว่า เกิดในครอบครัวชาวนา อ.กันตัง จ.ตรัง เรียนจบชั้น ม.6 ในตัวจังหวัด จากนั้นไปเรียนต่อที่โรงเรียนแม่โจ้ หรือมหาวิทยาลัยแม่โจ้ในปัจจุบันสมัยนั้นโรงเรียนแม่โจ้เป็นโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ของวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เข้าเรียนเป็นรุ่นที่ 7 ในพ.ศ.2483 รุ่นเดียวกับ ศ.ระพี สาคริกสำเร็จการศึกษาในปี 2485 จึงกลับไปอยู่ที่บ้าน จ.ตรัง เพราะอยู่ในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ระหว่างนั้นวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ส่งจดหมายให้มาเข้าเรียน เพราะได้รับโควตาจากโรงเรียนแม่โจ้ เพราะเรียนดี แต่สมัยนั้นบ้านยากจน จึงไม่มีเงินที่จะส่งให้เรียนได้
กระทั่งเดือนตุลาคมปีเดียวกัน กรมเกษตรส่งจดหมายแจ้งว่า กำลังรับสมัครนักศึกษาที่จบจากโรงเรียนแม่โจ้ เพื่อบรรจุเป็นพนักงานส่งเสริมการเกษตร จึงสมัครสอบเข้าเป็นพนักงานข้าว กรมเกษตร วันที่ 1 ม.ค. พ.ศ.2486 กรมเกษตรบรรจุให้เป็นพนักงานข้าว อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ได้เงินเดือน 34 บาท แต่เพราะเป็นคนปักษ์ใต้ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ข้าวของภาคกลาง จึงขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติมไปได้หนังสือเล่มหนึ่งเขียนโดย ม.ล.ยิ่งศักดิ์ อิศรเสนา หัวหน้าสถานีทดลองรังสิต ชื่อ "มารยาแม่โพสพ" เป็นหนังสือเกี่ยวกับพันธุ์ข้าวทั่วประเทศ แต่เน้นในเขตภาคกลาง จนมีความรู้พอทำงานได้เมื่อเริ่มทำงาน รุ่นพี่ซึ่งคุณตาสุนทรจะต้องไปแทนตำแหน่งแนะนำว่า นอกจากข้าวแล้วยังต้องเรียนรู้พืชอื่นๆ ด้วยเพราะตำแหน่งที่ไปทำนั้นแม้จะชื่อว่าพนักงานข้าว แต่ต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับการเกษตรทุกอย่าง เพื่อคอยให้คำปรึกษานายอำเภอ ปลัดอำเภอ และเกษตรกรทุกคน เหมือนเกษตรอำเภอในสมัยนี้คุณตาสุนทรย้ำให้ฟังว่า สิ่งที่จะต้องเรียนรู้ใน อ.บางคล้า มีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ สับปะรดคลองท่าลาด มะม่วงบางคล้า และข้าวหอมมะลิโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ในสมัยนั้นเป็นข้าวพันธุ์พื้นบ้านที่มีชื่อเสียงมาก แต่มีปลูกเป็นจำนวนน้อย เฉพาะในพื้นที่ ต.ท่าทองหลาง พร้อมทั้งแนะนำให้ไปขอความรู้กับ "ขุนทิพย์" กำนันตำบลท่าทองหลาง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวหอมมะลิที่สุดในยุคนั้นขุนทิพย์ให้ความรู้ว่า ข้าวหอมมะลิเป็นข้าวพื้นบ้านของ ต.ท่าทองหลาง เป็นที่นิยมของคหบดีที่มีชื่อเสียงจากเมืองหลวง หากมา อ.บางคล้า จะต้องมาซื้อข้าวหอมมะลิท่าทองหลางแต่ด้วยเป็นข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวนาปีปลูกได้ครั้งเดียวต่อปี และเป็นข้าวเบา ต้องปลูกในที่นาดอนที่เป็นดินร่วนปนทรายเท่านั้น ซึ่งใน อ.บางคล้า มีเพียง ต.ท่าทองหลาง เท่านั้นที่เหมาะสมสำหรับปลูก จึงเป็นเหตุให้แม้จะได้รับความนิยมและราคาสูง แต่ไม่สามารถปลูกได้อย่างแพร่หลายออกไป
หลายครั้งที่มีผู้พยายามนำพันธุ์ข้าวหอมมะลิท่าทองหลางออกไปปลูกนอกพื้นที่ แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ เคยมีผู้ที่พยายามนำพันธุ์ข้าวหอมมะลิออกไปปลูกที่อื่นครั้งใหญ่ที่สุด คือประมาณปีพ.ศ.2492 พนักงานข้าว อ.บางเขน ชื่อ สุนันท์ ยุวนานนท์ มาพร้อมกับคุณหญิงของพระนรราชจำนงค์ ปลัดกระทรวงเศรษฐการ หรือกระทรวงพาณิชย์ในปัจจุบันขอซื้อพันธุ์ข้าวหอมมะลิ เพื่อไปปลูกในพื้นที่ อ.บางเขน ได้ไปประมาณ 10 ถัง ปลูกในพื้นที่ประมาณ 100 ไร่ ผ่านไป 1 ปีก็มีจดหมายมาบอกว่า ไม่ได้ผล ข้าวไม่ขึ้น ไม่ออกรวง รวงลีบ หรือให้ผลผลิตน้อยจนไม่คุ้มทุน ต้องเลิกความคิดที่จะขยายพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิจนทุกคนคิดว่าข้าวหอมมะลิเป็นข้าวประจำถิ่น ไม่สามารถนำไปปลูกยังพื้นที่อื่นได้ต่อมาในสมัยสงครามเย็น ผู้นำโลกเสรีที่ต่อต้านการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างอเมริกา ต้องการใช้ไทยเป็นเกราะกำบังในการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคเอเชีย จึงให้ความช่วยเหลือในด้านการทหารและเศรษฐกิจ เมื่อพ.ศ.2493โครงการดังกล่าวมองว่า เศรษฐกิจไทยเดินได้ด้วยชาวนาเป็นหลัก จึงเข้ามาช่วยชาวนาไทยด้วยการพัฒนา และคัดเลือกสายพันธุ์ที่ดีที่สุดให้เพาะปลูกสหรัฐส่งผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุ์พืชมาเป็นที่ปรึกษาโครงการ ฝึกอบรมนักวิชาการไทย จำนวน 30 คน จาก 36 จังหวัด โดยคุณตาสุนทรเป็นหนึ่งที่ได้เข้ารับการฝึกอบรมในครั้งนั้น หลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรมรับมอบหมายให้วางแผนเก็บพันธุ์ข้าวที่ดีที่สุดตามทฤษฎีที่เรียนมา ในเขตพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา และ จ.ชลบุรี ได้ทั้งหมดจำนวน 25 สายพันธุ์ โดยไม่มีข้าวหอมมะลิอยู่ในจำนวนนั้นด้วยแต่ระหว่างที่เฝ้าติดตามดูการเจริญเติบโตของข้าวทั้ง 25 สายพันธุ์ ต้องเดินผ่านพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิทุกวัน สังเกตว่าข้าวหอมมะลิปลูกหลังพันธุ์อื่นแต่เจริญเติบโตรวดเร็วกว่าจนเก็บเกี่ยวได้ก่อน ประกอบกับเห็นว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่มีชื่อเสียงของ อ.บางคล้า จึงเสนอเรื่องไปยังกรมเกษตร เพื่อเพิ่มข้าวหอมมะลิเป็นสายพันธุ์ที่ 26 ในการทดลองเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวจึงเข้าไปคัดรวงข้าวที่ดีที่สุด จำนวน 200 รวง เป็นตัวอย่างส่งไปให้กรมเกษตรพร้อมกับ 25 สายพันธุ์ที่คัดเลือกไว้ก่อนหน้าโดยตัวอย่างข้าวหอมมะลิถูกนำไปทดลองปลูกที่สถานีทดลองโคกสำโรง จ.ลพบุรี โดยใช้ข้าวนางมณ เป็นข้าวหอมเช่นกัน แต่เป็นพันธุ์พื้นเมืองของรังสิต เป็นต้นแบบในการเทียบเคียงการทดลองปลูกจะนำเมล็ดข้าวของแต่ละรวงมาปลูกเรียงกันเป็นแถวในกระบะทีละเม็ด จนครบทั้ง 200 รวง บำรุงอย่างดีปลายปี 2494 เมื่อข้าวโตจนให้ผลผลิตแล้ว ผลการทดลองปรากฏว่าจำนวน 199 รวงของข้าวหอมมะลิให้ผลผลิตที่ต่ำกว่าข้าวนางมณ มีเพียงรวงเดียวเท่านั้นที่ให้ผลผลิตที่สูงกว่า คือ รวงที่ 105จึงเป็นที่มาของชื่อสายพันธุ์ว่า "ข้าวขาวดอกมะลิ 105" หรือข้าวหอมมะลินั่นเอง จากนั้นนำผลผลิตที่ได้ไปขยายพันธุ์ จนเก็บเกี่ยวได้พันธุ์ข้าวเป็นเกวียนใน พ.ศ.2496 และกระจายพันธุ์ข้าวที่ได้ไปปลูกในทุกพื้นที่ของประเทศไทยกระทั่ง พ.ศ.2501 หลังจากทดลองปลูกติดต่อกันมา 6 ปี จึงพบว่า ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เหมาะที่จะปลูกในพื้นที่ภาคอีสาน เพราะเป็นดินร่วนปนทราย ลักษณะเป็นนาน้ำฝน สิ่งที่พิเศษคือ ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เป็นสายพันธุ์ที่ทนแล้งมากที่สุด เหมาะจะปลูกในภาคอีสานที่สุดจนกลายมาเป็นข้าวหอมมะลิอันโด่งดัง รางวัลที่ได้รับ ฐานะผู้ค้นพบพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105พ.ศ.2536 โล่เชิดชูเกียรติ จากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2543 โล่เชิดชูเกียรติ จากกรมปรับปรุงพันธุ์ข้าวและขยายพันธุ์พืชแห่งประเทศไทย เป็นผู้ทำคุณประโยชน์แก่ชาวนาไทยและประเทศชาติศิษย์เก่าดีเด่นมหาวิทยาลัยแม่โจ้สวทช.ประกาศให้เป็น 1 ใน 100 ผู้ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติในรอบ 100 ปีพ.ศ.2550 โล่ประกาศเกียรติคุณ จากกรมการข้าว ฐานะผู้มีผลงานอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาข้าวไทย